จีนอนุมัตินำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเพิ่ม 27 สวน ดันยอดส่งออกโตอีกในปีนี้

จีนอนุมัตินำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเพิ่ม 27 สวน ดันยอดส่งออกโตอีกในปีนี้

จีนอนุมัตินำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเพิ่มอีก 27 สวน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4,384 ไร่ อาจดันยอดส่งออกทุเรียนของเวียดนามพุ่งสูงอีกในปีนี้

สำนักข่าวเซาท์ ไชนา มอร์นิง โพสต์ รายงานว่า เวียดนามอาจส่งออกทุเรียนไปจีนได้เพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ หลังรัฐบาลปักกิ่งอนุมัตินำเข้าทุเรียนเวียดนาม

จีนได้อนุมัตินำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเพิ่มอีก 27 สวนใน จ.บิ่ญเฟื้อก ของเวียดนาม หลังสมาคมผักและผลไม้เวียดนามคาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกทุเรียนทั้งหมดอาจพุ่งสู่ระดับ 3,500 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

สถานเอกอัครรราชทูตจีนในเวียดนาม เผยเมื่อวันจันทร์ (18 มี.ค.) ว่า สวน 27 แห่งที่ได้รับอนุมัติ มีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนราว 701.5 เฮกตาร์ หรือประมาณ 4,384 ไร่ ซึ่งสามารถผลิตทุเรียนได้สูงถึง 14,030 ตันต่อปี และตอนนี้จีนอนุญาตนำเข้าทุเรียนจากจ.บิ่ญเฟื้อกรวมทั้งสิ้น 65 สวน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,412 เฮกตาร์ หรือ 15,075 ไร่

ทั้งนี้ เมื่อปี 2566 มูลค่าส่งออกทุเรียนไปจีนของเวียดนามอยู่ที่ 2,100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 188.1 ล้านดอลลาร์ในปี 2565

สำหรับลูกค้าจีน “ทุเรียนเป็นของหวานคุณภาพสูง” และมักนำไปมอบเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสพิเศษต่างๆ โดยทุเรียน 1 ผล จำหน่ายในราคา 100-200 หยวน หรือประมาณ 500-1,000 บาท

“เหวียน ทันห์ ตรุง” นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Fulbright ในเวียดนาม บอกว่า ด้วยประเทศเวียดนามมีชายแดนติดกับจีน จึงช่วยให้สามารถขนส่งทุเรียนด้วยรถบรรทุกและรถไฟได้อย่างสะดวก ทั้งยังลดต้นทุนค่าขนส่งได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

“สิ่งที่จีนได้จากเวียดนามคือ การที่เวียดนามพึ่งพาจีน และสร้างการพึ่งพาอาศัยบางอย่างซึ่งกันและกัน” เหวียนกล่าวเสริม

ขณะที่สมาคมผักและผลไม้บอกว่า ผู้ปลูกทุกเรียนในเวียดนามสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกฤดู ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอีกประการเมื่อเทียบกับฤดูกาลในประเทศอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม เวียดนามมีดินบางประเภทเท่านั้นที่สามารถปลูกทุเรียนได้ ถ้าหากเกษตรกรเปลี่ยนใจไปปลูกอย่างอื่น อาจทำให้แปลงปลูกรกร้างและอาจไม่มีกำไรในปีนั้น

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีน ระบุว่า จีนนำเข้าทุเรียนจากหลายประเทศรวมกันทั้งหมด 1.4 ล้านตันในปี 2566 เพิ่มขึ้น 69% จากปี 2565 โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีนมากที่สุดที่ระดับ 67.98% และสัดส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นของเวียดนาม

อ้างอิง: South China Morning Post