ฝ่ายไซเบอร์อิสราเอล ใช้ ‘เทคฯเอไอ’ ช่วยค้นหาผู้สูญหาย หลังฮามาสโจมตี

ฝ่ายไซเบอร์อิสราเอล ใช้ ‘เทคฯเอไอ’ ช่วยค้นหาผู้สูญหาย หลังฮามาสโจมตี

ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับสูงของอิสราเอลหลายร้อยคน กำลังใช้เทคโนโลยีเอไอ "จดจำใบหน้า" เพื่อช่วยตามหาบุคคลสูญหาย หลังถูกกลุ่มฮามาสโจมตีประเทศ และจับพลเรือนเป็นตัวประกันราว 200 คน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันจันทร์ (16 ต.ค.) ว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับสูงของอิสราเอลหลายร้อยคน หยุดพักงานส่วนตัวชั่วคราว เพื่อช่วยค้นหาชาวอิสราเอลที่หายตัวไป หลังกลุ่มติดอาวุธฮามาสโจมตีประเทศเมื่อสัปดาห์ก่อน

ศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยีระดับสูงของอิสราเอลในกรุงเทลอาวีฟ มีอาสาสมัครหลายคน ร่วมกันสร้างศูนย์บัญชาการชั่วคราว โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และเทคโนโลยีจดจำใบหน้าและเสียง เพื่อช่วยระบุตัวตนบุคคลสูญหายหลังเกิดการโจมตี บางครั้งก็ใช้ฟีเจอร์จดจำการแต่งกายหรือลักษณะภายนอกอื่น ๆ

ภายในศูนย์บัญชาการแห่งนี้ เต็มไปด้วยภาพชาวอิสราเอลที่สูญหายเต็มกำแพง ย้ำเตือนภารกิจสำคัญของเหล่าอาสาสมัคร

“คารีน นาฮอน” หนึ่งในผู้นำที่ริเริ่มโครงการช่วยเหลือดังกล่าว บอกว่า อาสาสมัครหลายคนกำลังวิเคราะห์รูปภาพ รวมทั้งวิดีโอที่ฮามาสเผยแพร่ทางออนไลน์ เพื่อช่วยระบุตัวตนและหาตำแหน่งคนที่สูญหายไปกว่า 1,000 คน และรัฐบาลกำลังพึ่งพาข้อมูลจากศูนย์บัญชาการนี้ ซึ่งข้อมูลใด ๆ ที่รวบรวมได้จะนำส่งให้กับเจ้าหน้าที่อิสราเอล

แต่ขณะนี้ ฮามาสกำลังลบภาพการโจมตีที่โพสต์ในโลกออนไลน์ อิสราเอลคาดว่า กองกำลังเริ่มระมัดระวังไม่ให้วิดีโอเหล่านั้นนำไปวิเคราะห์ข้อมูลได้

นาฮอน บอกว่า ตอนนี้ฮามาสกำลังไล่ลบวิดีโอที่มี ซึ่งมีทั้งไลฟ์แสดงให้เห็นว่าตนเข้าไปในห้องเด็ก ๆ ที่ถูกฆ่าได้อย่างไร และมีภาพน่ากลัวมากมาย

“พวกเขารู้ว่าเราจับตามองอยู่ และรู้ว่าเราจะวิเคราะห์วิดีโอเหล่านั้น”

ทั้งนี้ มือปืนฮามาส สามารถหลบเลี่ยงมาตรการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวดของอิสราเอลได้ เพื่อหลบหนีออกจากฉนวนกาซา และกระหน่ำโจมตีหลายเมืองของอิสราเอลและคิบบุซ (นิคมการเกษตรของอิสราเอล) คร่าชีวิตประชาชน 1,300 ราย และจับตัวประกันไปเกือบ 200 คน

การการตอบโตกลุ่มฮามาส อิสราเอลยิงจรวดถล่มกาซาหลายวัน คร่าชีวิตชาวปาเลสไตน 2,700 ราย พร้อมเตรียมบุกภาคพื้นดิน และให้คำมั่นสัญญาว่าจะกำจัดฮามาสให้สิ้นซาก ขณะที่ฮามาสบอกว่า กองกำลังจะสังหารตัวประกันเพื่อตอบโต้การโจมตีของอิสราเอลต่อพลเรือน

 

อ้างอิง:Reuters