เปิด 4 ความท้าทายจีนอีก 5 ปีข้างหน้าภายใต้'สี จิ้นผิง' สมัย 3

เปิด 4 ความท้าทายจีนอีก 5 ปีข้างหน้าภายใต้'สี จิ้นผิง' สมัย 3

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ครองอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อไปอีกห้าปี ในช่วงเวลาดังกล่าวเขาต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้างที่รุมเร้าประเทศ สำนักข่าวเอเอฟพีมีรายละเอียด

เศรษฐกิจชลอตัว

เศรษฐกิจจีนชลอตัวมีแนวโน้มเป็นประเด็นใหญ่ในช่วงอีกห้าปีข้างหน้าของสี แต่การที่เขาตัดสินใจเลือกผู้ภักดีมาเป็นผู้บริหารพรรค ทำให้เกิดความกังวลว่า สีให้ความสำคัญกับอุดมการณ์แลกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

หลังจากโตแรงมาหลายสิบปี เศรษฐกิจแดนมังกรกำลังสูญเสียแรงส่ง นักวิเคราะห์คาดการณ์กันอย่างมากว่า จีนต้องดิ้นรนเพื่อรักษาเป้าการเติบโตของปีนี้ที่ราว 5.5% ไว้ให้ได้และความเคลื่อนไหวของสีชี้ให้เห็นว่า ยุคที่นักปฏิรูปสายเสรีนิยมนำพาเศรษฐกิจจีนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกถึงคราวสิ้นสุดแล้ว

แม้หลายสิบปีที่ผ่านมาภาคเอกชนจีนมั่งคั่งเพราะขอสินเชื่อง่าย และได้กำไรมหาศาล แต่ในสมัยหน้าของสีอาจเห็นรัฐบาลปักกิ่งหันมาใช้การบริหารจัดการเศรษฐศาสตร์ยุคเก่ามากขึ้น ด้วยการหันไปส่งเสริมอุตสาหกรรมหนักและปราบปรามบิ๊กเทคอย่างต่อเนื่อง

สีสนับสนุนการพัฒนาที่เน้นการบริโภคเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า “นโยบายวงจรคู่” และพยายามแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำภายใต้ชื่อ “เจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”แต่เมื่อสหรัฐให้คำมั่นว่าจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับการรักษา“ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน” กับจีน ในช่วงที่สองมหาอำนาจห้ำหั่นกันเพื่อครองความเหนือกว่าด้านเทคโนโลยี รัฐบาลปักกิ่งอาจพบว่าตนเองกำลังเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติในช่วงที่เศรษฐกิจในประเทศซบเซา

ตึงเครียดไต้หวัน

หลังจากความตึงเครียดกับไต้หวันเพิ่มขึ้นหลายปี สีที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอาจตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเติมเต็มความฝันอันยาวนานของปักกิ่งในการยึดเกาะประชาธิปไตยแห่งนี้

ทางการสหรัฐแย้งว่า โลกใกล้ได้เห็นความขัดแย้งเรื่องไต้หวันมากกว่าครั้งใดๆ และจีนอาจรุกรานไต้หวันเร็วสุดในปีนี้

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกล่าวในเดือนนี้ว่า จีนตัดสินใจขั้นพื้นฐานว่า การรักษาสถานภาพเดิมไม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป และปักกิ่งตัดสินใจเตรียมดำเนินการรวมไต้หวันเร็วกำหนดเดิมมาก

ด้านปักกิ่งยืนยันว่า นโยบายของตนต่อไต้หวันไม่เปลี่ยนแปลง แต่วาทะและการกระทำที่มีต่อไต้หวันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เป็นครั้งแรกที่พรรคคอมมิวนิสต์บรรจุการคัดค้านเอกราชไต้หวันไว้ในธรรมนูญพรรคในพิธีปิดประชุมสมัชชาที่สีได้ครองอำนาจเป็นวาระสาม แต่การเคลื่อนไหวใดๆ เพื่อรุกรานไต้หวันอาจทำลายซัพพลายเชนโลก เพราะไต้หวันเป็นซัพพลายเออร์เซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทันสมัยแทบทุกชนิด ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวและรถยนต์ ทั้งยังเรียกความขุ่นเคืองจากโลกตะวันตกด้วย การโดดเดี่ยวจีนมากยิ่งขึ้นยิ่งทำให้ปักกิ่งกับวอชิงตันใกล้เผชิญหน้าทางทหารโดยตรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และทำลายเสรีภาพที่ได้มาอย่างยากลำบากของไต้หวัน

ซีโรโควิด

สีจำเป็นต้องตัดสินใจถึงอนาคตของนโยบายซีโรโควิดอันเข้มงวดด้วย และตัดสินใจว่าตอนนี้จีนพร้อมเปิดรับโลกภายนอกหรือไม่ หลังจากปิดประเทศและกักตัวเข้มงวดมาสองปี

นโยบายนี้ฉุดรั้งเศรษฐกิจ สัปดาห์นี้ทางการกล่าวโทษว่าโควิดทำให้การว่างงานเพิ่มสูง

“ด้วยขนาดการควบคุมขณะนี้ การบริโภคไม่มีทีท่าฟื้นสู่ระดับก่อนโควิด” ตัน หวัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารหั่งเส็งจีนให้ความเห็น

แล้วการที่ฮ่องกงค่อยๆ ผ่อนระเบียบคุมโควิด เพื่อดึงดูดทุนต่างประเทศมากขึ้น สีอาจตัดสินใจได้ว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจมีมากกว่าผลประโยชน์ของการคุมเข้ม

แต่ถ้าดูสุนทรพจน์สีตอนเปิดประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อสัปดาห์ก่อน ยังไม่มีวี่แววว่าจะผ่อนนโยบายเข้มงวด ที่ล็อกดาวน์ผู้คนหลายล้านคนแม้พบผู้ติดเชื้อเพียงหยิบมือ ขณะที่ส่วนอื่นๆ ของโลกเรียนรู้อยู่ร่วมกับโควิดกันแล้ว

และในเมื่อความสำเร็จของนโยบายซีโรโควิดคือความชอบธรรมของสี จึงไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลายในเร็ววัน ไม่ว่าเศรษฐกิจเสียหายเท่าใดก็ตาม

สิทธิมนุษยชน

จีนภายใต้การนำของสีขจัดภาคประชาสังคมไปเกือบหมด นักกิจกรรมหนีออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลถูกทำลาย และในซินเจียงอันห่างไกลทางตะวันตก กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ชาวอุยกูร์และชาติพันธุ์มุสลิมอื่นๆ ถูกจับกุม ในสิ่งที่สหรัฐและส.ส.ประเทศตะวันตกเทียบเท่ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

สถานการณ์นี้ดูแล้วไม่น่าจะดีขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้า เมื่อสีมีอำนาจมากขึ้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะท้าทาย และสีไม่ยอมต่อแรงกดดันของนานาชาติ

โซฟี ริชาร์ดสัน จากองค์กรสิทธิมนุษยชนรายงานว่า สมัยหน้าของสีน่าจะได้เห็นเขา“ยังคงทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ต่อไปทั่วประเทศและทั่วโลก"