‘เจพี มอร์แกน’ มอง ‘ไทย - ญี่ปุ่น’ เป็นจุดอ่อนในเอเชีย

‘เจพี มอร์แกน’ มอง ‘ไทย - ญี่ปุ่น’ เป็นจุดอ่อนในเอเชีย

เจพี มอร์แกน มองไทย และญี่ปุ่น เป็นจุดอ่อนในเอเชีย รองลงไปคือ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของดุลบัญชีเดินสะพัด และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ

นักเศรษฐศาสตร์จาก “เจพี มอร์แกน” ในสิงคโปร์ ระบุ ประเทศในเอเชีย ส่วนใหญ่ที่มี ดุลบัญชีเดินสะพัด ที่แข็งแรง และสะสม เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เอาไว้มาก จึงสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความปั่นป่วนของตลาดโลกได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อมองจากความแข็งแรงของดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินสำรองระหว่างประเทศ พบว่า ไทยและญี่ปุ่น ยังคงเป็นจุดที่อ่อนของเอเชีย รองลงไปคือ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย

นายอเล็กซานเดอร์ วูล์ฟ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนภูมิภาคเอเชีย ของธนาคาร เจพี มอร์แกน อินเวสต์เมนท์ แบงก์ ในประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า แม้จะเริ่มมีสัญญาณเชิงลบโดยทุนสำรองระหว่างประเทศเริ่มจะลดลง แต่หลายประเทศก็ยังคงประคองตัวอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเดิม เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้างมากขึ้น ปัจจุบัน ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ของเอเชียมีมูลค่ารวมกันราว 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากที่เคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. 2564

"ภายในปีที่ผ่านมา เกราะป้องกันปัจจัยลบจากภายนอกที่สั่งสมไว้เริ่มร่อยหรอลงมาก ขณะที่หนี้ภาครัฐ และหนี้ครัวเรือนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้น นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นยังมีผลต่อยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่เคยทำไว้ได้มาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ หักด้วยอัตราเงินเฟ้อ อยู่ในอัตราติดลบ สภาวะเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ของเอเชียมีภาวะปัจจัยที่จะป้องกันตัวเองจากผลกระทบของเงินทุนไหลออกลดน้อยลง" นายวูล์ฟระบุ

อย่างไรก็ตาม นายวูล์ฟเสริมว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่จัดได้ว่ามีความยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวรับผลกระทบดังกล่าวได้ดีเป็นพิเศษเมื่อพิจารณาในแง่เศรษฐกิจมหภาค โดยจะเห็นได้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) มีสัญญาณการขยายตัวทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ในเกาหลีใต้ และไต้หวัน

ยิ่งในเอเชียเหนือ ซึ่งยังมีความขัดแย้งกันอยู่ เช่น ญี่ปุ่น และจีน เจ.พี. มอร์แกน มองว่า คู่นี้อาจเป็นจุดอ่อนแอที่สุดของภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ หากประเมินความเปราะบางโดยพิจารณาจากดุลบัญชีเดินสะพัด สำรองเงินตราต่างประเทศ และยีลด์บัฟเฟอร์พบว่า ไทย และญี่ปุ่น เป็นจุดที่อ่อนแอมากที่สุด ตามมาด้วยจีน เกาหลีใต้ และอินเดีย เป็นกลุ่มอ่อนแอรองลงมา

ขณะที่บริษัทวิจัยโนมูระ เปิดเผยว่า มี 7 ใน 30 ประเทศหรือดินแดนที่พบว่า หากมีภาวะเศรษฐกิจหดตัว ถดถอย หรือตลาดเงินตลาดทุนขาดเสถียรภาพ ยังสามารถรับมือได้ดี ไม่ได้รับแรงกระแทกมากนัก ในจำนวนนี้ มีประเทศที่อยู่ในเอเชียด้วย ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินเดีย

“เอเชียยังคงมีเกราะป้องกันตนเองได้ดีจากมรสุมทางเศรษฐกิจ” นายจิน หยาง ลี ผู้จัดการฝ่ายการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลของบริษัท abrdn PLC ในสิงคโปร์ให้ความเห็น และว่า เขามองเห็นโอกาสดี ๆ ในพันธบัตรรัฐบาลของมาเลเซีย อินเดีย และจีน

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์