ลุ้น‘ทรัมป์’ผิดคดีอาญาหลังเจอหมายค้นเอฟบีไอ

ลุ้น‘ทรัมป์’ผิดคดีอาญาหลังเจอหมายค้นเอฟบีไอ

ลุ้น‘ทรัมป์’ผิดคดีอาญาหลังเจอหมายค้นเอฟบีไอ ขณะคณะกรรมการสืบสวนเหตุโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐโดยกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ กำลังเก็บข้อมูลการผิดกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น จากความพยายามพลิกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2563

 อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐตกเป็นข่าวดังทั่วโลก หลังเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ(เอฟบีไอ) เข้าค้นรีสอร์ทมาร์อะลาโกในเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของเขา ขณะที่ยังไม่ชัดเจนว่า เป้าหมายของการสืบสวนครั้งนี้คืออะไร

แต่สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้สรุปคดีและการไต่สวนที่อดีตผู้นำสหรัฐกำลังเผชิญก่อนเหตุค้นบ้านของเอฟบีไอในครั้งนี้ โดยย้อนหลังไปเมื่อเดือนก.พ. หอจดหมายเหตุแห่งชาต ของสหรัฐ ได้แจ้งแก่รัฐสภาว่า พบเอกสารทำเนียบขาวจำนวนราว 15 กล่องที่บ้านของทรัมป์ในรัฐฟลอริดา โดยเอกสารบางส่วนมีข้อมูลลับ

คณะกรรมการตรวจสอบดูแลของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในขณะนั้นจึงขยายการสืบสวนการกระทำของทรัมป์ และขอให้หอจดหมายเหตุมอบข้อมูลเพิ่มเติมให้คณะกรรมการ โดยก่อนหน้านั้น ทรัมป์ยืนยันว่าได้ตกลงคืนบันทึกส่วนหนึ่งให้ทางหอจดหมายเหตุแล้ว พร้อมทั้งบอกว่า ขั้นตอนดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ
 

ขณะที่คณะกรรมการสืบสวนเหตุโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐโดยกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ กำลังเก็บข้อมูลการผิดกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น จากความพยายามพลิกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2563

“ลิซ เชนีย์” รองประธานคณะกรรมการ ระบุว่า คณะกรรมการสามารถทำเรื่องไปยังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเพื่อตั้งข้อหาตามคดีอาญาต่อทรัมป์ได้ ในขณะที่ทรัมป์กล่าวหาว่า คณะกรรมการดังกล่าวทำการสืบสวนแบบลวงโลก

คณะกรรมการระบุในเอกสารที่ยื่นให้ศาลเมื่อวันที่ 2 มี.ค. ว่า ทรัมป์พยายามโน้มน้าวให้อดีตรอง ปธน. ไมค์ เพนซ์ ไม่รับการลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งที่ลงคะแนนให้“โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต ที่ชนะการเลือกตั้ง หรือชะลอการนับคะแนนของรัฐสภาออกไป
 

“เดวิด คาร์เตอร์” ผู้พิพากษารัฐบาลกลางของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ดูแลคดีดังกล่าว ระบุว่า ความพยายามของทรัมป์อาจเป็นการละเมิดกฎหมายรัฐบาลกลางของสหรัฐที่ห้ามการขัดขวางหรือความพยายามขัดขวางกระบวนการใด ๆ ของรัฐ

ในเอกสารที่ยื่นเมื่อวันที่ 2 มี.ค. คณะกรรมการระบุว่า ทรัมป์และบุคคลอื่น ๆ อาจสมรู้ร่วมคิดกันโกงประเทศ โดยกฎหมายกำหนดโทษสำหรับบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ที่พยายามแทรกแซงการทำงานของรัฐบาลด้วยการหลอกลวง ใช้เล่ห์เหลี่ยม หรือใช้กลอุบายต่างๆ

ทางคณะกรรมการยังระบุด้วยว่า นอกจากความพยายามกดดันอดีตรอง ปธน. เพนซ์ แล้ว ทรัมป์ยังพยายามโน้มน้าวให้เจ้าหน้าที่เลือกตั้งของรัฐ สาธารณชน และสมาชิกรัฐสหาสหรัฐฯ เชื่อว่าเขาถูกขโมยชัยชนะในการเลือกตั้ง แม้พันธมิตรของเขาจะบอกเขาว่าไม่มีหลักฐานการโกงเลือกตั้งก็ตาม

ทั้งนี้ คณะกรรมการไม่สามารถจับกุมทรัมป์ด้วยข้อหาคดีอาญาตามกฎหมายรัฐบาลกลางได้ โดยผู้ที่จะตัดสินใจได้คือกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่า หากกระทรวงยุติธรรมตั้งข้อหาต่อทรัมป์ ความท้าทายของเหล่าอัยการก็คือ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทรัมป์กระทำการดังกล่าวด้วยเจตนาทุจริต

ทั้งนี้ ทรัมป์สามารถแก้ต่างได้ว่า เขาเชื่ออย่างแท้จริงว่าเขาชนะเลือกตั้ง และการที่เขาพยายามกดดันอดีตรอง ปธน. เพนซ์ และเจ้าหน้าที่เลือกตั้งระดับรัฐ ไม่ได้มีเจตนาขัดขวางรัฐสภาสหรัฐ หรือโกงประเทศ แต่เขาทำไปเพื่อปกป้องความถูกต้องเที่ยงตรงของการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ ทรัมป์อาจถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดเพื่อปลุกปั่น ซึ่งเป็นข้อหาที่พบไม่บ่อยนัก โดยกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้การใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลอเมริกันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย 

โดย“บาร์บารา แม็คเควด” ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัยมิชิแกน และอดีตอัยการรัฐบาลกลางสหรัฐ ระบุว่า อัยการต้องแสดงให้เห็นว่าทรัมป์สมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นเพื่อใช้กำลัง เพื่อพิสูจน์ว่าทรัมป์มีความผิดตามข้อหาดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ ผู้มีส่วนร่วมกับเหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. หลายคน ถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดเพื่อปลุกปั่น

ระหว่างการไต่สวนโดยคณะกรรมการสืบสวนเหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐ เมื่อเดือนมิ.ย. สมาชิกพรรคเดโมแครตระบุว่า ทรัมป์ระดมเงินราว 250 ล้านดอลลาร์จากผู้สนับสนุนของเขาเพื่อเป็นทุนทำคดีในศาลว่าเขาชนะเลือกตั้งแต่ทรัมป์กลับนำเงินส่วนใหญ่ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมองว่า อาจมีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์อาจถูกตั้งข้อหาการได้เงินมาด้วยการหลอกลวงเสแสร้งผ่านทางอินเทอร์เน็ต

เมื่อเดือนพ.ค. มีการแต่งตั้งคณะลูกขุนใหญ่คณะพิเศษเพื่อพิจารณาหลักฐานของกรณีที่ยื่นโดยอัยการรัฐจอร์เจีย เกี่ยวกับความพยายามของทรัมป์ที่อาจใช้อิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งของรัฐเมื่อปี 2563

การสืบสวนมุ่งเน้นไปที่บทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างทรัปม์และ“แบรด ราฟเฟนสเปอร์เกอร์” เลขานุการรัฐจอร์เจีย เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งในบทสนทนาดังกล่าวตามไฟล์เสียงที่หนังสือพิมพ์เดอะ วอชิงตัน โพสต์ ได้รับมานั้น ทรัมป์ขอให้ราฟเฟนสเปอร์เกอร์หา คะแนนเลือกตั้งเพื่อพลิกผลการเลือกตั้งที่เขาแพ้

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระบุว่า ทรัมป์อาจละเมิดกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการเลือกตั้งของรัฐจอร์เจียอย่างน้อยสามกระทงด้วยกัน ได้แก่ การสมรู้ร่วมคิดเพื่อโกงการเลือกตั้ง การจูงใจให้ผู้ใดกระทำการโกงเลือกตั้ง และการจงใจแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่เลือกตั้ง

แต่ทรัมป์ ก็อาจโต้แย้งว่าเขาใช้เสรีภาพในการแสดงออกและไม่ได้มีเจตนาใช้อิทธิพลต่อการเลือกตั้ง