“โจโกวี” จ่อพบสี จิ้นผิง ถกประเด็นเรือดำน้ำนิวเคลียร์ออสเตรเลีย

“โจโกวี” จ่อพบสี จิ้นผิง ถกประเด็นเรือดำน้ำนิวเคลียร์ออสเตรเลีย

ประธานาธิบดีโจโก วิโดโดของอินโดนีเซีย จะเป็นผู้นำสำคัญคนแรกเยือนประเทศจีนในสัปดาห์หน้า หลังที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในช่วงจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อเดือน ก.พ.

กระทรวงการต่างประเทศจีน เปิดเผยว่า ปธน.โจโกวี มีแผนเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 2 วัน โดยจะเดินทางมาถึงวันจันทร์ที่ 25 ก.ค.2565 เพื่อหารือถึงสถานการณ์โควิด-19 การลงทุนทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงในภูมิภาค 

ขณะที่จีนออกรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี(21 ก.ค.) ได้วิพากษ์วิจารณ์สนธิสัญญาออคัส (AUKUS) ที่มีขึ้นระหว่างออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐที่อาจนำไปสู่การเพิ่มอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาค 

ในเรื่องนี้ ออสเตรเลียได้ออกมาปฏิเสธและระบุเพียงว่า การจัดส่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์ก็อีกตั้งนานในปี 2573

อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุม G20 ที่บาหลีในปีนี้ ถูกมองว่าเป็นนายหน้าซื้อขายพลังงานรายใหญ่ของอาเซียนและเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ที่ดูเหมือนว่าจะขยายอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มาเลเซียวิจารณ์ข้อตกลงดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา โดยเตือนว่าอาจนำไปสู่การแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ในอินโดแปซิฟิก ทำให้อินโดนีเซียดำเนินการอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น โดยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย ให้เหตุผลว่า เขาเข้าใจถึงความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ จะต้องปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

ศ.หวัง อี้เหวย ผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มองว่า สนธิสัญญาคอคัสจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่สีและโจโกวีหารือกัน โดยมุ่งเป้าไปที่การรักษาเสถียรภาพ และความสัมพันธ์เศรษฐกิจกับรัฐบาลแคนเบอร์รา ขณะที่ปักกิ่งยังคลางแคลงใจในเรื่องความมั่นคงในมหาสมุทรและการดำเนินการของออสเตรเลีย ซึ่งอินโดนีเซียก็สงสัยว่า ทำไมรัฐบาลแคนเบอร์ราถึงต้องการเรือดำน้ำนิวเคลียร์ แล้วประเทศใดเป็นภัยคุกคามออสเตรเลียในแปซิฟิกใต้

มีรายงานว่า จีนมีเรือดำน้ำอย่างน้อย 60 ลำ รวมถึงเรือโจมตีที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ 6 ลำ ขณะที่ออสเตรเลียมีเรือดำน้ำดีเซลขับเคลื่อน 6 ลำ อย่างไรก็ตาม จีนชี้ว่าสนธิสัญญาคอคัสจะสร้างแบบแผนที่อันตราย ในการสนับสนุนให้ออสเตรเลียเข้าถึงอาวุธที่ส่งผลต่อความมั่นคงในภูมิภาค เช่น เรือดำน้ำอาวุธนิวเคลียร์ที่ส่งผลต่อความสมดุลและเสถียรภาพระดับโลก