ภาคพลังงานต้องสะอาด เปลี่ยนผ่านโดยไม่เพิ่มต้นทุนไฟฟ้า

ภาคพลังงานต้องสะอาด เปลี่ยนผ่านโดยไม่เพิ่มต้นทุนไฟฟ้า

COP 27 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 ปิดฉากไปแล้ว ซึ่งจุดยืนของประเทศไทยก็ยังคงเดิม ตามที่ประกาศไว้ในการประชุม COP26 เมื่อปีที่แล้ว

โดยในปีนี้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมได้กล่าวถ้อยแถลงเน้นย้ำการเร่งดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการสร้างความร่วมมือจากนานาประเทศในการบรรลุเป้าหมายนี้

ในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ปรับปรุงยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (LT-LEDS) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ในการประชุม COP26 เช่น ปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด (Peak year) ให้เร็วขึ้นจากเดิม

ซึ่งกำหนดไว้ที่ปี ค.ศ. 2030 เป็น ค.ศ. 2025 (เร็วขึ้น 5 ปี) และปรับเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนให้เร็วขึ้นจากเดิมซึ่งกำหนดไว้ที่ปี ค.ศ. 2065 เป็น ภายในปี ค.ศ. 2050 (เร็วขึ้น 15 ปี) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและส่งสัญญาณว่าประเทศไทยมีความจริงจังและให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ภาคพลังงานต้องสะอาด เปลี่ยนผ่านโดยไม่เพิ่มต้นทุนไฟฟ้า

ภาคพลังงานเป็นภาคที่มีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น เนื่องจากเป็นภาคที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก) มากที่สุด และมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและทางเลือกในการลดคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าภาคส่วนอื่น

ดังนั้น การปรับเป้าหมายและแผนปฏิบัติการในภาคพลังงานให้เข้มข้นขึ้น จึงจำเป็นอย่างมากในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในภาคพลังงานมีการดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้พิจารณาประกอบการปรับแผนและยุทธศาสตร์ระยะยาว ให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่มีความท้าทายมากขึ้น

โดยแผนพลังงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แผนพลังงานชาติ แผน PDP, AEDP, EEP, gas and oil plan 2018 ซึ่งต้องมีการปรับเป้าหมายให้มีความเข้มข้นขึ้นและสอดรับกับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศด้วย

หนึ่งในการศึกษาที่มีความเกี่ยวข้องและอาจช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐในการปรับแผนต่าง ๆ คือ การศึกษาภายใต้โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CASE)

ซึ่งได้ทำการศึกษาเส้นทางลดคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงาน โดยโครงการ CASE พบว่าประเทศไทยต้องเร่งลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์โดยรวมในภาคพลังงานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อีกทั้งพบว่าประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคพลังงานได้โดยใช้เทคโนโลยีพลังงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน และไม่ทำให้ต้นทุนภาคการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น โดยแต่ละภาคส่วนควรมุ่งเน้นมาตรการดังต่อไปนี้

ภาคพลังงานต้องสะอาด เปลี่ยนผ่านโดยไม่เพิ่มต้นทุนไฟฟ้า

ภาคการผลิตไฟฟ้า ต้องเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้สูงกว่า 77% ในอีก 15 ปีข้างหน้า โดยเน้นเทคโนโลยีจากลมและแสงอาทิตย์ และทยอยปลดถ่านหินออกจากระบบไฟฟ้า  

โดยมาตรการนี้จำเป็นต้องอาศัยการลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบและต้นทุนทางการเงินในการติดตั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มความยืดหยุ่นในระบบไฟฟ้า ทั้งในด้านการทำสัญญาซื้อขาย และการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ 

เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน เข้ามาใช้ นอกจากนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรจะวางแผนลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างครอบคลุม เช่น มีนโยบายที่ชัดเจนให้ตลาดแรงงานสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้และมีมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบ

ภาคอุตสาหกรรม (ความร้อน) ต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิตให้สูงกว่า 50% ในอีก 15 ปีข้างหน้า และเลิกใช้ถ่านหินภายในปี 2050 ซึ่งต้องอาศัยมาตรการจูงใจให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนเทคโนโลยี

เช่น ปั๊มความร้อนแบบไฟฟ้า ส่งเสริมธุรกิจประหยัดพลังงาน การบังคับใช้มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีชีวมวล และไฮโดรเจน ทดแทนการใช้ถ่านหินในการผลิตความร้อนในภาคอุตสาหกรรม

ภาคขนส่ง ในอีก 15 ปีข้างหน้า ต้องทำให้ 100% ของรถยนต์ที่จำหน่ายเป็นยานยนต์ไฟฟ้า ควบคู่กับการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทาง จากรถส่วนตัวเป็นรถสาธารณะ และจากถนนสู่ระบบรางที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

ซึ่งการดำเนินงานขับเคลื่อนในส่วนนี้ต้องอาศัยมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งด้านอุตสาหกรรมและในฝั่งของผู้บริโภค การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะและระบบราง รวมไปถึงมาตรการจูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนจากยานยนต์สันดาปภายในมาเป็นยานยนต์พลังงานสะอาด

เมื่อพิจารณาในส่วนของต้นทุนการผลิตไฟฟ้า พบว่า หากระบบไฟฟ้ามีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost optimization) และอาศัยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ประกอบกับสมมติฐานที่ต้นทุนของเทคโนโลยีหลักอย่าง โซลาร์และแบตเตอรี่มีแนวโน้มที่จะลดลง การบรรลุเป้าหมายตามแนวทางที่เสนอนี้ จะไม่ทำให้ต้นทุนในภาคการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น

การศึกษาของ CASE ชี้ว่ารัฐจำเป็นต้องปรับแผนพลังงานปัจจุบันให้เข้มข้นและชัดเจนมากกว่าในปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับเสียงสะท้อนจากวิทยากรในงานเสวนา “ทบทวนคำสัญญาผู้นำไทยกับความเป็นไปได้สู่เวที COP27” เมื่อ พ.ย. ที่ผ่านมา

โดย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ เสนอให้ภาครัฐเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดจากในแผนเดิม จัดการการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรมให้ชัดเจน ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เร่งสร้างทางรถไฟฟ้ารางคู่ ส่งเสริมผู้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง

ในขณะที่คุณอาทิตย์ เวชกิจ จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องให้ภาครัฐปรับยกระดับเป้าหมายพลังงานสะอาดให้เข้มข้นขึ้นโดยเร็วเพื่อมิให้อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอน

ในขณะที่คุณสฤณี อาชวานันทกุล ได้เสนอแนะว่า การใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อจูงใจในการลดคาร์บอนควรเป็นส่วนเสริม และควรใช้อย่างระมัดระวังเพราะอาจจูงใจให้ธุรกิจมุ่งเน้นการซื้อคาร์บอนเครดิตแทนที่จะพยายามลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต

ด้วยแนวโน้มโลกที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไม่ได้ ประเทศไทยจึงควรตัดสินใจและเร่งดำเนินการมาตรการต่างๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านโดยเร็ว

เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยเอง และรักษาฐานการผลิตของธุรกิจต่างชาติรวมไปถึงยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อชีวิตของคนไทยทุกคน หากเริ่มทำช้า ประเทศจะยิ่งเสียโอกาส

แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานสะอาดต้องมีต้นทุน มีผู้ที่ได้และเสียประโยชน์ ผู้กำหนดนโยบายจึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่จะได้และต้นทุนที่ต้องจ่ายให้รอบคอบ โดยการศึกษาของ CASE แม้จะสามารถตอบคำถามเพียงส่วนหนึ่งของสมการนี้

แต่ชี้ให้เห็นว่าเส้นทางความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคพลังงานสามารถบรรลุได้โดยไม่เพิ่มต้นทุนไฟฟ้า นั่นแปลว่าผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานต่อต้นทุนการผลิตหรือค่าครองชีพจะมีไม่มากนัก ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี 

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลจากการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้กำหนดนโยบายเพื่อนำไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจและไม่ประเมินบทบาทของภาคพลังงานในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจกต่ำเกินไปเหมือนที่ผ่านมา

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CASE) ดำเนินการโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และองค์กรเชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สนับสนุนโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม คุ้มครองธรรมชาติ และความปลอดภัยทางปรมาณู สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMU)

คอลัมน์ วาระทีดีอาร์ไอ
ดร.สิริภา จุลกาญจน์
ดร.วิชสิณี วิบุลผลประเสริฐ 
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)