กล้องใหญ่มีหนาว! 3 เหตุผลที่ช่างภาพต้องยอมใจ 'vivo X300 Series'

ในโลกของการถ่ายภาพด้วยสมาร์ตโฟน "คอนเสิร์ต" ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุดในเชิงวิศวกรรม (The Ultimate Engineering Challenge) เพราะเป็นการรวมเอาฝันร้ายของเซนเซอร์กล้องมารวมไว้ในที่เดียว ทั้งระยะทางที่ไกล สภาพแสงที่แปรปรวน และวัตถุที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ผู้ใช้งานจึงต้องเลือกระหว่างการพกกล้องโปรขนาดใหญ่ที่มักติดกฎข้อห้ามของสถานที่ หรือจำใจใช้สมาร์ตโฟนแลกกับภาพที่เต็มไปด้วย Noise และขาดรายละเอียด

ความขัดแย้งระหว่าง "ความต้องการคุณภาพไฟล์ระดับมืออาชีพ" กับ "ข้อจำกัดทางกายภาพของสมาร์ตโฟน" นี้ เป็นกำแพงที่ผู้ผลิตทั่วโลกพยายามข้ามผ่าน และล่าสุด vivo ได้ประกาศศักดาในตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ด้วยการเปิดตัว vivo X300 Series สมาร์ตโฟนระดับเรือธงที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ท้าทายวงการ ‘แค่คลิก ซูมชิดติดเวที’ โดยเคลมว่าทำลายข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์เดิมๆ ด้วยเทคโนโลยีกล้องที่พัฒนาร่วมกับ ZEISS วันนี้ KT Review กรุงเทพธุรกิจไอที จะพาไปวิเคราะห์เจาะลึกถึง 3 ประเด็นความขัดแย้งทางเทคนิค ที่สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ได้เข้ามาแก้ไขจนหมดสิ้น

ซูมเยอะ ภาพไม่แตก

ความขัดแย้งแรกคือเรื่องคุณภาพไฟล์ภาพ ปกติแล้วเลนส์ซูมในมือถือมักให้เซนเซอร์ขนาดเล็ก ทำให้เมื่อซูมไกลในที่แสงน้อย (Low Light) ภาพจะเกิด Noise มหาศาล แต่ vivo X300 Pro ทำลายข้อจำกัดนี้ด้วยการยัด เซนเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว ลงในกล้องเทเลโฟโต้ ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม ทำงานร่วมกับเลนส์ ZEISS APO ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล

ผลลัพธ์คือการซูมที่ไม่ใช่แค่การขยายภาพดิจิทัลให้แตกเล่น แต่เป็นการเก็บรายละเอียดแสงและสีได้จริง ผสานการทำงานกับชิปประมวลผลภาพ vivo Imaging Chip V3+ และชิปเสริม VS1 ทำให้ประมวลผลภาพได้รวดเร็ว ลดการใช้พลังงาน และได้ภาพที่คมชัดสมบูรณ์แบบแม้จะซูมจากระยะไกลสุดฮอลล์

Stage Mode 2.0 จัดการแสงดีเวอร์

ความยากที่สุดของการถ่ายคอนเสิร์ตไม่ใช่ระยะทาง แต่คือสภาพแสงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวสว่างวาบ เดี๋ยวสีจัดจ้าน มือถือทั่วไปมักจะวัดแสงผิดพลาดทำให้หน้าศิลปินขาวโพลน (Overexposed) จะมานั่งปรับ Pro Mode เองช็อตต่อช็อตก็ไม่ทันกิน

vivo X300 Series แก้ปัญหานี้ด้วย ‘โหมดเวที 2.0’ (Stage Mode 2.0) ที่ฉลาดล้ำด้วยอัลกอริทึม Telephoto Magic 2.0 และ GTR 3.0 ระบบจะทำการวิเคราะห์แสงและล็อกโฟกัสที่ศิลปินให้อัตโนมัติ ปรับผิวให้เนียนใส คมชัด ไม่ว่าแสงไฟจะโหดร้ายแค่ไหน นอกจากนี้ยังมี AI Multi-Crop ที่ช่วยแก้ปัญหาคนเลือกมุมไม่ถูก โดยถ่ายช็อตเดียวได้ทั้งภาพกว้างและครอปเจาะศิลปินมาให้พร้อมกัน เปลี่ยนเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้ว

Telephoto Extender ซูมให้สุด ฉุดไม่อยู่

เมื่อซอฟต์แวร์ดีแล้ว แต่ฮาร์ดแวร์เดิมอาจยังไม่สะใจพอ vivo จึงกล้าฉีกกฎด้วยการนำเสนออุปกรณ์เสริมที่ปกติเราจะเห็นแต่ในกล้องใหญ่ นั่นคือ ชุดเลนส์เสริมกำลังขยาย 2.35 เท่า (vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender)

นี่คือนวัตกรรมที่เข้ามาแก้ปัญหาข้อจำกัดทางกายภาพของเลนส์มือถือ ให้ขยายระยะการซูม optical ได้ไกลขึ้นจริง พร้อมดีไซน์ที่ดูเป็นมืออาชีพ ประกอบกับแบตเตอรี่เทคโนโลยี BlueVolt ที่อัดความจุมาให้ถึง 6510mAh ในรุ่น Pro ทำให้ความกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างอัดวิดีโอ 4K 120FPS กลายเป็นเรื่องในอดีต

ราคาและการวางจำหน่าย

• vivo X300 ราคาเริ่มต้นที่ 31,999 บาท (https://s.shopee.co.th/6fZs7)
• vivo X300 Pro ราคาเริ่มต้นที่ 39,999 บาท (https://s.shopee.co.th/5fhKv)

ซื้อตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2568 รับทันที ของสมนาคุณพิเศษสามต่อ มูลค่ารวม 13,188 บาท เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานอย่างเต็มที่

• ต่อที่ 1 vivo Care รับประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี จำนวน 1 ครั้ง มูลค่า 10,999 บาท
• ต่อที่ 2 ขาตั้งสมาร์ตโฟน มูลค่า 890 บาท
• ต่อที่ 3 เคสตัวเครื่องพร้อมแม่เหล็ก มูลค่า 1,299 บาท

สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการขยายขีดจำกัดของพลังซูม เพื่อสัมผัสประสบการณ์ระดับ VIP ชุดเลนส์เสริมกำลังขยาย 2.35 เท่า (vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender) ซึ่งประกอบด้วยเคสสมาร์ตโฟนและเลนส์ซูม สำหรับรุ่น X300 Pro และ X300 พร้อมให้สายถ่ายระยะไกลได้เป็นเจ้าของแล้วในราคา 5,999 บาท