ครป.ร้องนายกฯ ฟัน 'นพ.สรณ' ประธาน กสทช.เหตุขาดคุณสมบัติ

ครป.ร้องนายกฯ ฟัน 'นพ.สรณ' ประธาน กสทช.เหตุขาดคุณสมบัติ

ครป.ยื่นร้อง 'อนุทิน' เร่งจัดการประธาน กสทช.เหตุขาดคุณสมบัติ อีกทั้งยังแจ้งข้อมูลเท็จ นั่งควบแพทย์มหิดล-เอกชน ขัดรธน.ชัดเจน ยันเอกสารเพียบ หากนายกไม่ดำเนินการ จ่อถูกร้องขัดจริยธรรมร้ายแรง ดักคออย่าเอาประโยชน์ส่วนตัวมาละเลยการทำหน้า หลังพบเคยรักษาคนในครอบครัวนายก

KEY

POINTS

  • คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมายกับ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.
  • ข้อกล่าวหาหลักคือ นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง เนื่องจากยังเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยในช่วงที่ได้รับแต่งตั้ง ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ
  • นพ.สรณ ถูกกล่าวหาว่าแจ้งข้อมูลเท็จต่อวุฒิสภา โดยอ้างว่าได้ลาออกจากการประกอบวิชาชีพแพทย์แล้ว แต่มีหลักฐานว่ายังคงปฏิบัติงานในฐานะแพทย์อยู่ ซึ่งถือเป็นการกราบบังคมทูลเท็จเพื่อรับการโปรดเกล้าฯ
  • ครป. ชี้ว่าการดำรงตำแหน่งของ นพ.สรณ เป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น และเรียกร้องให้นายกฯ ดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ พร้อมเตือนถึงความผิดทางจริยธรรมหากเพิกเฉย
  • นอกจากการให้เอาผิด นพ.สรณ แล้ว ครป. ยังเรียกร้องให้แพทยสภาตรวจสอบจริยธรรม และให้ กสทช. ระงับการประมูลคลื่นความถี่จนกว่าปัญหาคุณสมบัติของประธานจะได้รับการแก้ไข

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ต.ค.) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โดยนายเมธา มาสขาว รักษาการเลขาธิการ ครป. ผู้ประสานงาน เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ยื่นหนังสือ ร้องเรียนต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้เร่งดําเนินการตามกฎหมาย กรณี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน คณะกรรมการกิจการกระจายแสงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้ามในการดํารงตําแหน่ง ประธาน กสทช.

ภายหลังคณะกรรมาธิการ กมธ. เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และ โทรคมนาคม วุฒิสภา พบว่า นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติการตํารงตําแหน่ง ประธานกสทช. เนื่องจากเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยในช่วงที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช. 

ดังนั้น ประธาน กสทช. จึงมีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 และมาตรา 26 ประกอบกับ มาตรา 18 มาตรา 20 ซึ่งผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ดังกล่าว ได้ปรากฏอยู่ในบันทึกการประชุม คณะกมธ.การเทคโนโลยี สื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา ครั้งที่ 17/2567 ในวันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเผยแพร่ต่อสาธารณะแล้ว

แต่ที่ผ่านมาสํานักงาน กสทช. ไม่ได้ดําเนินการตามกฎหมายกับประเด็นการขาดคุณสมบัติดังกล่าว และปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อเนื่องมาโดยตลอด และมีข้ออ้างว่ารัฐบาลยังไม่ได้ดําเนินการอะไรด้วย

ครป.ร้องนายกฯ ฟัน 'นพ.สรณ' ประธาน กสทช.เหตุขาดคุณสมบัติ

ครป.และเครือข่ายภาคประชาชน เคยยื่นจดหมายถึงอดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ แต่กลับไม่มีการดําเนินการใดๆ ครป. จึงได้ร้องมายังนายอนุทิน เพื่อขอให้ดําเนินการตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ดี ตามที่มีข้อกล่าวหาและหลักฐานยืนยันปรากฏ ในสื่อสํานักข่าวอิศรา ลงข่าววันที่ 9 ตุลาคม 2568 สรุปว่า มีเอกสารพบว่า มีเอกสารปรากฏหนังสือ มหิดลแจ้งต่อปลัดอว. ว่า วันที่ 8 มกราคม 2565 ถึง 12 เมษายน 2565 นพ.สรณ มีสถานะเป็น “แพทย์ตอบแทนรายชั่วโมง” ซึ่งเป็นการประกอบวิชาชีพอิสระ (วิชาชีพเวชกรรม) “มิได้มีสถานะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด”  ซึ่งในหนังสือรับรองตนเอง 8 มกราคม 2565 วันเดียวกัน ต้องยื่นวุฒิสภา และได้รับรองตนเองแล้วว่าได้ลาออกและเลิกประกอบอาชีพวิชาชีพดังกล่าวแล้ว ม.มหิดลจึงเป็นผู้ยืนยันเองจากข่าวนี้ว่าหนังสือ รับรองดังกล่าวเป็นเท็จ ขัดมาตรา 8(3) ประกอบมาตรา 18 และมาตรา 20 โดยปริยาย เพราะ ข้อ ข.3. เท่ากับไม่ได้ลาออกวิชาชีพเวชกรรมจริง

ฉะนั้น จึงพิสูจน์ได้ว่า นพ.สรณ ไม่ได้เลิกประกอบวิชาชีพเวชกรรมจริง จึงถือเป็นการ “แจ้งข้อมูลเท็จ” ต่อวุฒิสภา ส่งผลให้เป็นการกราบบังคมทูลเท็จไปด้วย 

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานการแถลงข่าวของกรรมาธิการ และประกาศบนเว็บไซต์วุฒิสภา รวมถึงคลิปเสียงจาก การตรวจสอบว่ายังประกอบวิชาชีพเวชกรรมมาโดยตลอด และการกลับไปประกอบวิชาชีพเวชกรรมมีหลักฐาน เป็นภาพประกอบที่โรงพยาบาลพระราม 9 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ในประเด็นนี้ก็ขาดมาตรา 8 (3) ที่สําคัญเคยลาออกแล้วแต่กลับไปทําใหม่ จึงมิได้สนใจข้อกฎหมายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นพ.สรณ ยังได้ยื่นแจ้งเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินเองต่อ ป.ป.ช. ประกอบว่ายังประกอบอาชีพอิสระ(แพทย์) ซึ่งก็คือวิชาชีพเวชกรรมอยู่ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปี 2568

ทั้งนี้ นพ.สรณ  เข้าข่ายขัดพระบรมราชโองการฯ เพราะถือเป็นการนําความกราบบังคมทูลประกอบ “เอกสารอันเป็นเท็จ” และที่สําคัญกลับเป็นที่ปรากฏว่าเพิ่งได้ลาออกจากโรงพยาบาลรามาธิบดีในวันเดียวกับที่ทรงมีพระบรมราชโปรดเกล้าฯ จึงส่อเจตนาชัดเจนในการกระทําขัดข้อกฎหมาย มาตรา 8  และมาตรา 182 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะ (3) อย่างชัดเจน 

นายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง โดยไม่อาจยกประโยชน์บุญคุณส่วนตัวในการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวต่างตอบแทนในการไม่ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่แต่อย่างใด

นอกจากนี้ ยังมาปรากฏการแต่งตั้งเลขานุการประธาน กสทช. เป็นที่ปรึกษาของนายกฯและรมว.มหาดไทย ซึ่งเป็นเลขานุการประธาน กสทช. และยังคงดํารงตําแหน่งอยู่ การใช้ที่ปรึกษาร่วมกัน นายกฯ จึงเป็นคู่ขัดแย้งมีส่วนได้ส่วนเสียอาจส่งผลต้องรับโทษร้ายแรง หากนายกไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ต้องถูกดําเนินคดีด้านความผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย

นพ.สรณ ไม่เคยเป็นประธานและกรรมการ กสทช. ตั้งแต่แรก เพราะเข้าข่ายหลอกลวงคุณสมบัติ หากยังคงปล่อยให้ผู้ไม่มีอํานาจหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ประธาน กสทช. สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จะทําให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง และถือเป็นการร่วมกันกระทําผิด ร่วมกันปกปิด และก้าวล่วงพระราชอํานาจ

ทั้งนี้ ครป.ขอให้แพทยสภาตรวจสอบจริยธรรมทางการแพทย์และเพิกถอนใบอนุญาตตลอดชีวิต เนื่องจาก ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามแล้ว รวมถึงการที่ประธาน กสทช.แต่งตั้งให้ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. ดํารงตําแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. เป็นระยะเวลากว่า 5 ปี โดยไม่ได้ดําเนินการแต่งตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายและมติของคณะกรรมการ กสทช.แต่อย่างใด และการประเมินให้นายไตรรัตน์ จาก “พนักงานตามสัญญาจ้าง” เป็น “พนักงานประจําของสํานักงาน กสทช.” นั้น ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายและการแต่งตั้งโดยชอบ โดยอ้างว่าเป็นอํานาจของประธาน กสทช.แต่เพียงผู้เดียว

ครป. เห็นว่า การดํารงตําแหน่งทั้งสองท่านเป็นโมฆะ จะต้องมีการดําเนินการสรรหาใหม่โดยเร็ว และขอเรียกร้องให้สํานักงานกสทช. และคณะกรรมการ กสทช.ทุกท่าน ระงับและเลื่อนการประมูลคลื่นความถี่โทรคมนาคมออกไปก่อน เพื่อแก้ไขปัญหาการผูกขาดคลื่นความถี่ของเอกชนเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะ และจัดการปัญหาคุณสมบัติประธาน และเลขาธิการ กสทช. ผู้จัดประมูล ให้แล้วเสร็จก่อนเพื่อชี้แจงต่อสาธารณะและประชาชน 

ในท้ายที่สุด ครป. จึงเห็นควรขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งดำเนินการกฎหมายโดยเร็ว ตามข้อเท็จจริงข้างต้น เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนต่อไป