ไขรหัส ‘วิกฤติข้อมูล’ เดิมพัน การบริหารจัดการ ‘ไอทียุคใหม่’

ไขรหัส ‘วิกฤติข้อมูล’  เดิมพัน การบริหารจัดการ ‘ไอทียุคใหม่’

ท่าทีของบริษัทและทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา...

Keypoints :

  • การไม่รู้ว่าข้อมูลทั้งหมดอยู่ที่ใดเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อองค์กร
  • ธุรกิจขาดภาพรวมในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย

ฮัน ชอน กรรมการผู้จัดการ ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ไต้หวัน-ฮ่องกง-เกาหลีใต้ นูทานิคซ์ เผยว่า ตั้งแต่ช่วงปี 2561 ผู้นำด้านไอทีส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่งพวกเขาจะรันเวิร์กโหลดทางธุรกิจทั้งหมดอย่างเป็นการเฉพาะบนไพรเวทคลาวด์หรือพับลิคคลาวด์

ห้าปีต่อมา รายงาน Enterprise Cloud Index (ECI) การวิจัยระดับโลกของนูทานิคซ์ ได้เผยให้เห็นถึงความจริงที่เกิดขึ้นซึ่งแตกต่างกันมากกับที่องค์กรส่วนใหญ่เคยคาดการณ์ไว้

ผลวิจัยระบุว่า องค์กรส่วนใหญ่เห็นว่า การรันเวิร์กโหลดบนพับลิคคลาวด์, ศูนย์ข้อมูลที่อยู่ภายในองค์กรและที่ edge พร้อมๆ กัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีประโยชน์มาก 

โดย 60% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจ ใช้สภาพแวดล้อมไอทีหลากหลายประเภทอยู่แล้ว และจำนวนผู้ใช้ลักษณะนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ประเด็นท้าทาย ‘ไอทียุคใหม่’

รายงานระบุด้วยว่า เหตุผลหลักจากหลายๆ เหตุผล ที่ธุรกิจใช้ตัดสินใจว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดเป็นโซลูชันที่ดีที่สุด คือเหตุผลด้าน ความปลอดภัยของข้อมูล ความยืดหยุ่น และค่าใช้จ่าย

โดยความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมไอทียุคใหม่มาพร้อมกับการสร้างข้อมูลที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จึงเป็นความท้าทายที่คนทำงานด้านไอทีต้องเผชิญ

ปัจจุบัน ความสามารถในการมองเห็นความเป็นไปของข้อมูลกลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนที่สุดของบริษัทต่างๆ และผลวิจัย ปีนี้เผยให้เห็นว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ (60%) ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างครบถ้วนว่าข้อมูลต่างๆ ของบริษัทจัดเก็บอยู่ที่ใด

“การไม่รู้ว่าข้อมูลทั้งหมดขององค์กรอยู่ที่ใดเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อองค์กร เมื่อใดก็ตามที่บริษัทมองไม่เห็นความเป็นไปของข้อมูลอย่างครบถ้วน บริษัทจะเสี่ยงต่อการละเมิดและการรั่วไหลของข้อมูลมากขึ้น”

นอกจากนี้ มีโอกาสที่อาจตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้ช้าลง และกู้คืนข้อมูลได้ยากขึ้น หรืออาจไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มประเด็นปัญหาให้ต้องแก้ไขมากขึ้น

บริหารไม่ดี กระทบ ‘ซิเคียวริตี้’

โดยสรุปแล้ว เมื่อไม่รู้ว่าข้อมูลอยู่ที่ใด อาจทำให้ธุรกิจขาดภาพรวมในการนำมาตรการด้านความปลอดภัยที่จำเป็น เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล, การเข้ารหัส, และการติดตามตรวจสอบ มาใช้ได้อย่างครอบคลุม ทำให้ไม่มีการป้องกันอย่างรัดกุมและถูกโจมตีได้ง่าย

ขณะเดียวกัน การมองไม่เห็นอย่างชัดเจนว่าข้อมูลอยู่ที่ใด อาจกระทบต่อประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ เพราะการขาดข้อมูลจะส่งผลต่อความสามารถของบริษัทในการประสานความร่วมมือเพื่อตอบโต้การโจมตีได้อย่างรอบด้าน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากและต้องใช้เวลาในการกู้คืนระบบมากขึ้น

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือ เมื่อธุรกิจไม่สามารถมองเห็นข้อมูลของตนแม้เพียงส่วนเล็กๆ ก็ตาม จะทำให้การใช้กลยุทธ์ด้านการลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลและการสำรองข้อมูลทำได้ยากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสูญหายจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การโจมตีทางไซเบอร์ ระบบล่ม หรือจากภัยธรรมชาติ

 เปิดทางสู่ ‘โอกาสใหม่ๆ’

ทุกวันนี้บริษัทต่างๆ ยังต้องปฏิบัติตามข้อบังคับด้านการคุ้มครองข้อมูลที่มีอยู่จำนวนมาก รวมถึงต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยถิ่นที่อยู่ของข้อมูลที่ประเทศต่างๆ กำหนดไว้

ดังนั้นหากบริษัทใดบริษัทหนึ่งไม่รู้ว่าข้อมูลของตนถูกเก็บไว้ ณ ที่ใด บริษัทนั้นอาจละเมิดข้อบังคับต่าง ๆ โดยไม่ตั้งใจ ทำให้ต้องจ่ายค่าปรับ รับผลทางกฎหมาย และชื่อเสียงเสียหาย

อย่างไรก็ตาม องค์กรจะมองเห็นสถานะและความเป็นไปของข้อมูลทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ได้ด้วยการนำเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ และเครื่องมืออัตโนมัติต่างๆ มาผสานใช้งานร่วมกัน

เมื่อมองเห็นข้อมูลทั้งหมดก็จะสามารถปรับกระบวนการตัดสินใจต่างๆ และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ผลลัพธ์ดีขึ้น ซึ่งปลายทางก็คือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มผลิตผล และสามารถทำกำไรได้มากขึ้น

มากกว่านั้น เปิดทางให้องค์กรพบโอกาสใหม่ๆ ที่ใช้ขับเคลื่อนการเติบโตและประสบความสำเร็จในสนามธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน