‘บลูบิค’ ลุยตั้งบริษัทย่อย โกยรายได้ทะลุ 1 พันล้านบาทปีนี้

‘บลูบิค’ ลุยตั้งบริษัทย่อย โกยรายได้ทะลุ 1 พันล้านบาทปีนี้

“บลูบิค” กางแผนธุรกิจหลังปิดดีลควบรวมกิจการครั้งใหญ่ เตรียมจัดตั้งบริษัทย่อย บุกหนักธุรกิจที่ปรึกษาดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน มั่นใจจุดแข็งด้านบุคลากร ความเชี่ยวชาญ คาดผลประกอบการปี 66 โตแกร่งทะลุ 1,000 ล้านบาท

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร กล่าวว่า เตรียมเปิดตัว บริษัท บลูบิค วัลแคน จำกัด เพื่อรองรับหน่วยธุรกิจ “Digital Delivery” หลังคณะกรรมการบริษัทมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้เข้าซื้อหน่วยธุรกิจดังกล่าวจาก บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็มเฟค เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา

โดยกระบวนการเข้าซื้อกิจการและการจัดตั้งบริษัท บลูบิค วัลแคน จำกัด จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งจะส่งผลให้บุคลากรผู้เชี่ยวชาญของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 800 คน นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องแบบ 360 องศา รวมถึงเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของบริษัททั้งในและต่างประเทศ โดย ณ สิ้นปี 2565 มีงานแบ็คล็อกรวมมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท

บริษัทมั่นใจว่าการเพิ่มจำนวนบุคลากรผ่านการควบรวมกิจการในครั้งนี้ จะผลักดันให้ผลประกอบการของบลูบิคในปี 2566 เติบโตอย่างแข็งแกร่งทะลุ 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว

โดยจะมีสัดส่วนรายได้จาก บลูบิค วัลแคน ราว 300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของรายได้รวมของบลูบิค และส่งผลให้สัดส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีให้กับองค์กร (Digital Excellence & Delivery หรือ DX) ซึ่งเป็นแกนหลักในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจาก 50% ในปี 2565 เป็น 65% ในปีนี้

เขากล่าวว่า โอกาสมาถึงแล้ว ไม่สามารถที่จะรอได้ แม้บลูบิคจะมั่นใจในจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญ ทว่าต้องยอมรับว่ายังขาดทีมงานที่มากพอจะรองรับโครงการขนาดใหญ่และการขยายตลาดใหม่ๆ ดังนั้นการซื้อกิจการครั้งนี้จะเข้ามาอุดช่องว่างดังกล่าวได้ และจากเดิมลูกค้าหลักของบริษัทมาจากกลุ่มธุรกิจธนาคารและประกันภัย แต่ขณะนี้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งส่งผลดีทำให้ลูกค้า พนักงาน และนักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ถึงวันนี้กล่าวได้ว่าบลูบิคมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

สำหรับการผนึกกำลังระหว่างทีม DX ของบลูบิค และบลูบิค วัลแคน เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทให้เป็นไปตามแผนงาน ผ่านการขยายบริการไปยังฐานลูกค้าของทั้งสองฝ่าย อีกทั้งการขยับขึ้นเป็นบริษัทที่มีจำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นการเปิดประตูสู่การขยายบริการไปยังกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดกลางที่มีความต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเพิ่มขึ้น

“ทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน DX ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน จำนวนคนของทีม DX ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยปลดล็อคข้อจำกัดการให้บริการในอดีต พร้อมเปิดโอกาสขยายการให้บริการกลุ่มลูกค้า ทั้งแนวตั้งและแนวราบได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เชื่อมั่นว่าจากนี้การเติบโตของบริษัทจะเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพและแข็งแกร่ง”

 

พร้อมระบุว่า โจทย์ของการขึ้นไปสู่เบอร์ 1 นอกจากความเชี่ยวชาญ ต้องมีสเกลและการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าใช้วิธีเพิ่มคนเข้ามาเรื่อยๆ อาจไม่ทันกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้นทางเลือกเดียวคือการหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และครั้งนี้นับเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่สำคัญ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปีนี้เป็นต้นไป

สำหรับความเชี่ยวชาญของทีมนักพัฒนาเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันของ ‘บลูบิค วัลแคน’ มีดังต่อไปนี้

  1. การจัดการ Application Programming Interface - API Management และการนำระบบขึ้นเพื่อใช้งาน (Deployment Management)
  2. ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชันภายใต้มาตรฐาน Software Development Life Cycle – SDLC ได้แก่ Banking Solution, Mobile Application Platform, Line Business Connect, Big Data & Analytics, Automation, Blockchain และ API Gateway
  3. การออกแบบเว็บไซต์/แอปพลิเคชัน/ฟังก์ชันพื้นฐานในการใช้งาน (UX/UI Design)
  4. การประกันคุณภาพซอฟต์แวร์ (Software Quality Assurance)

พชรเผยด้วยว่า มีแผนเปิดตัว บลูบิค เทคโนโลยี เซ็นเตอร์ (เวียดนาม) เพิ่มเติม หลังจัดตั้ง บลูบิค เทคโนโลยี เซ็นเตอร์ ที่ประเทศอินเดียไปเมื่อปีที่ผ่านมา โดยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการบ่มเพาะองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อผลิตผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีรองรับการขยายธุรกิจในประเทศเวียดนาม รวมถึงสามารถใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี (BOI) ซึ่งจะช่วยให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น

หลังจากนี้ เตรียมขยายฐานธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ๆ รวมถึงสู่ระดับภูมิภาค พร้อมเดินหน้าขยายกิจการผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) และกิจการร่วมค้า (Join Venture) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านบริการและรองรับงานทั้งในไทยและต่างประเทศ

ปัจจุบัน บลูบิคเป็นผู้ให้บริการสัญญาติไทยที่ครองอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีให้กับองค์กร(DX) มั่นใจว่ามีจุดแข็งทั้งด้านความเชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ์ บุคลากร ทั้งผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ความเข้าใจในแต่ละอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี

พชรประเมินว่า ทิศทางการลงทุนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทยปีนี้ยังคงขยายตัวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างแพลตฟอร์ม ซูเปอร์แอปพลิเคชัน รวมถึงเอไอ บิ๊กดาต้า การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบคลาวด์ และที่ขาดไม่ได้คือการลงทุนด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ โดยภาพรวมตลาด DX ในประเทศไทยมีมูลค่าไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาท เติบโตปีละประมาณ 20%