Meta พิจารณายุติโอเพนซอร์ส หันพัฒนา AI ระบบปิด หลังหารือแล็บ Superintelligence

Meta พิจารณายุติโอเพนซอร์ส หันพัฒนา AI ระบบปิด หลังหารือแล็บ Superintelligence

บริษัท Meta เตรียมเปลี่ยนแนวทางพัฒนาเอไอจากเปิดสู่ปิด หลังทีมวิจัยพบข้อจำกัดของโมเดล Behemoth พร้อมตั้งแล็บ Superintelligence ที่ทำงานอย่างลับเฉพาะเพื่อเร่งพัฒนาเอไอรุ่นใหม่

KEY

POINTS

  • Meta กำลังพิจารณาเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาเอไอจากแบบโอเพนซอร์สไปสู่ระบบปิด หลังการหารือภายในแล็บ Superintelligence ที่เพิ่งจัดตั้ง
  • การทบทวนนโยบายนี้เกิดขึ้นหลังจากโมเดลเอไอล่าสุดที่ชื่อ Behemoth มีปัญหาด้านประสิทธิภาพและถูกชะลอการเปิดตัว
  • หากมีการเปลี่ยนแปลง จะถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Meta ซึ่งเคยเป็นผู้สนับสนุนหลักในการเปิดเผยซอร์สโค้ดเอไอให้เป็นสาธารณสมบัติ
  • ทิศทางดังกล่าวสะท้อนแนวโน้มการควบคุมเทคโนโลยีเอไอไว้เพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน แทนที่จะแบ่งปันในวงกว้าง

Meta บริษัทแม่ของ Facebook กำลังทบทวนนโยบายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หลังจากที่ใช้แนวทางโอเพนซอร์สมาโดยตลอด โดยมีรายงานว่าแล็บ Meta Superintelligence ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นไม่นานนี้ ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการหันไปพัฒนาเอไอแบบปิด (Closed model) ที่ไม่เปิดเผยซอร์สโค้ดต่อสาธารณะ

Behemoth สะดุด Meta ชะลอการเปิดตัว

The New York Times อ้างอิงแหล่งข่าวจากบุคคลใกล้ชิดการประชุมระดับผู้บริหารของ Meta ระบุว่า โมเดลเอไอตัวล่าสุดที่ชื่อ “Behemoth” ซึ่งบริษัทได้พัฒนาและฝึกสอนข้อมูลจนแล้วเสร็จ กำลังถูกชะลอการเปิดตัว หลังจากประสิทธิภาพภายในไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะเดียวกันทีมวิจัยที่เคยดูแล Behemoth ได้หยุดการทดสอบเพิ่มเติม นับตั้งแต่มีการจัดตั้งแล็บ Superintelligence เมื่อเดือนมิถุนายน 

เดิมที Behemoth เคยวางแผนจะเปิดเป็นโอเพนซอร์สให้สาธารณะเข้าถึงได้ แต่เนื่องจากปัญหาประสิทธิภาพภายใน จึงยังไม่สามารถเปิดตัวต่อสาธารณะได้ และขณะนี้ทิศทางใหม่ที่กำลังถูกร่างขึ้นในห้องประชุม กลับชี้ไปในทางพัฒนาโมเดลแบบปิดที่ไม่เปิดเผยข้อมูลเบื้องหลัง

Behemoth เป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ระดับ Frontier model หรือ “โมเดลแนวหน้า” ซึ่งหมายถึงระบบเอไอที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ล้ำหน้าที่สุด และทรงพลังที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยออกแบบมาให้สามารถรองรับงานที่ซับซ้อนระดับสูง

เช่น การวิเคราะห์เชิงเหตุผล การเขียนโค้ด การสนทนาแบบมนุษย์ หรือแม้แต่การวางแผนในระดับยุทธศาสตร์ ซึ่งโมเดลกลุ่มนี้มักเป็นตัวแทนการแข่งขันของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่มุ่งสร้างเอไอที่เข้าใกล้ระดับ Superintelligence มากที่สุด

ดังนั้น Behemoth จึงไม่ใช่เพียงโมเดลเอไอทั่วไป แต่เป็นความพยายามในการก้าวขึ้นมาเทียบชั้นกับโมเดลอย่าง GPT-4 ของ OpenAI, Gemini ของ Google หรือ Claude ของ Anthropic แต่การชะลอการเปิดตัว Behemoth อาจสะท้อนถึงความท้าทายเชิงเทคนิคหรือความไม่พร้อมด้านกลยุทธ์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของ Meta เอง

เปลี่ยนโครงสร้าง เดินหน้า Superintelligence

ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการขยายบทบาทของ อเล็กซานเดอร์ หวัง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Scale ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายเอไอคนใหม่ของ Meta หลังจากบริษัทลงทุนกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ เข้าถือหุ้น 49% ใน Scale และดึงทีมงานระดับสูงจากบริษัทดังกล่าวเข้าร่วมในแล็บใหม่

Meta Superintelligence Labs ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาเอไอที่สามารถทำงานได้เหนือความสามารถของสมองมนุษย์ หรือที่เรียกว่า Superintelligence ซึ่งถือเป็นเป้าหมายระยะยาวของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กซีอีโอของ Meta

หวัง ได้จัดตั้งทีมวิจัยขนาดเล็กที่ประกอบด้วยนักวิจัยชั้นนำและอดีตผู้บริหารจาก GitHub โดยมีสำนักงานอยู่ใกล้กับห้องทำงานของซักเคอร์เบิร์กที่สำนักงานใหญ่ใน Menlo Park พื้นที่ของทีมหวังอยู่แยกจากโครงสร้างเดิม และใกล้ชิดกับผู้บริหารสูงสุด ซึ่งแยกออกจากทีมพัฒนาเอไอหลักของ Meta อย่างชัดเจน และดำเนินงานภายใต้ความลับขั้นสูง

สัญญาณแรงกระเพื่อมภายในองค์กร

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หวัง ได้จัดประชุมกับพนักงานเอไอของ Meta ราว 2,000 คน โดยระบุว่าทีมงานของเขาจะดำเนินการอย่างเป็นอิสระและมุ่งพัฒนาเอไอขั้นสูงเป็นหลัก แม้ยังไม่ให้คำตอบชัดเจนว่า Meta จะเดินหน้ากับโมเดลแบบปิดเต็มรูปแบบหรือไม่ 

นอกจากนี้แล้ว มีรายงานว่า หลังช่วง Vesting ในเดือนสิงหาคม อาจมีพนักงานบางส่วนทยอยลาออก หลังไม่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่ทีมใหม่ของหวัง ก่อนหน้านี้ Meta ประสบความท้าทายหลายด้านในสายงานเอไอทั้งการบริหารภายใน ความไม่ต่อเนื่องของทีม และผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาด

เอไอกลายเป็นสินทรัพย์ทางอำนาจ ไม่ใช่สาธารณะสมบัติ

แนวทางโอเพนซอร์สที่ Meta เคยใช้มาโดยตลอด ทำให้โมเดลเอไอของบริษัทมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีเอไอทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ไม่มีทรัพยากรมหาศาล เช่น บริษัทจีนอย่าง DeepSeek ซึ่งสามารถพัฒนาแชตบอตขั้นสูงโดยใช้โค้ดจาก Meta เป็นฐาน

แม้ Meta ยังไม่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะละทิ้งโมเดลแบบเปิดทั้งหมดหรือไม่ แต่การเปลี่ยนทิศทางดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เคยอิงอยู่บนฐานความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของสาธารณะ สู่แนวทางที่มุ่งรักษาอำนาจและทรัพยากรไว้ในมือของบริษัทเทคโนโลยีเพียงไม่กี่แห่ง

หาก Meta ตัดสินใจเปลี่ยนจากแนวทางโอเพนซอร์สไปสู่โคลสซอร์ส จะถือเป็นการเปลี่ยนผ่านเชิงปรัชญาและยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงที่เอไอกลายเป็นเครื่องมือหลักในแผนธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก การควบคุมทรัพยากร ข้อมูล และการเข้าถึงจึงมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ไม่ต่างจากทรัพยากรทางเศรษฐกิจในอดีต

Meta เป็นหนึ่งในบริษัทไม่กี่แห่งที่เคยสนับสนุนการพัฒนาเอไอแบบเปิด โดย อียาน เลอเกิง นักวิจัยเอไอระดับโลกของบริษัทเคยกล่าวไว้ว่า “แพลตฟอร์มที่ชนะในระยะยาวคือแพลตฟอร์มที่เปิดกว้าง”

ซักเคอร์เบิร์กเองก็เคยแสดงจุดยืนว่า Meta จะไม่เปิดเผยทุกอย่างเสมอไป โดยกล่าวไว้ในพอดแคสต์เมื่อปี 2024 ว่า “เราสนับสนุนโอเพนซอร์สอย่างชัดเจน แต่ผมไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะเปิดทุกสิ่งที่เราทำ”

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแนวยุทธศาสตร์ยังอยู่ในขั้นหารือภายใน ยังไม่ได้ข้อสรุปหรือประกาศอย่างเป็นทางการ

อ้างอิง: The new york times