‘โอเพนซอร์ส’ ในมุมมองนักวิทย์ Meta ผู้ที่เชื่อว่า เอไอต้องแชร์ความรู้ร่วมกัน

มอง ‘โอเพนซอร์ส’ ผ่านทัศนะของนักวิทย์ฯ Meta ผู้ที่เชื่อว่าการฝึกเอไอต้องใช้ความร่วมมือจากทั่วโลก ขณะที่ OpenAI เริ่มทบทวนนโยบายปิดซอร์สโค้ด เพราะการมาของเอไอสัญชาติจีนอย่าง DeepSeek
KEY
POINTS
- อียาน เลอเกิง เชื่อว่า อนาคตของเอไอควรจะเป็นแบบโอเพนซอร์สเพราะทำให้นักพัฒนาเอไอไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
- สงครามระหว่างโอเพนซอร์สและโคลสซอร์สที่เกิดขึ้นกำลังส่งเสียงไปยังวงการเทคโนโลยีโลก
- แซม อัลต์แมน บอกว่า การเลือกไม่เปิดเผยรหัสอาจเป็นทางเลือกที่คิดผิดมาตลอด ตอนนี้ทางบริษัทกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
“หากมองว่าผลงานของ DeepSeek สะท้อนว่าจีนกำลังแซงสหรัฐในเรื่องเอไอ นั่นคือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน แท้จริงแล้วสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ การที่โมเดลแบบเปิดเผยซอร์สโค้ด (Open Source) กำลังนำหน้าโมเดลแบบปิดซอร์สโค้ด”
อียาน เลอเกิง (Yann LeCun) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากบริษัทเมตา (Meta) กล่าว และอธิบายเพิ่มว่า สิ่งที่ทำให้โอเพนซอร์สมีพลังคือ ผู้พัฒนาไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่ใช้ผลงานที่มีอยู่แล้วจากนักวิจัยหรือบริษัทอื่นๆ ที่เผยแพร่มาต่อยอด
โอเพนซอร์สเป็นหนึ่งในคำศัพท์ที่มีประวัติยาวนานในแวดวงเทคโนโลยี ซึ่งขณะนี้ได้แทรกซึมเข้าสู่ชีวิตของคนทั่วไปมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สในชีวิตประจำวัน
กรุงเทพธุรกิจจึงชวนสำรวจความหมาย ความสำคัญ และประโยชน์ของโอเพนซอร์ส ผ่านมุมมองของ อียาน เลอเกิง บุคคลที่สนับสนุนการวิจัยแบบโอเพนซอร์สมาอย่างยาวนาน และมีความเชื่อว่า “อนาคตของเอไอควรจะเป็นแบบโอเพนซอร์ส”
โอเพนซอร์สคืออะไร?
โอเพนซอร์ส (Open Source) เป็นซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่เปิดเผยโค้ดต้นฉบับให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างอิสระ ผู้ใช้สามารถดู แก้ไข ปรับปรุง และแจกจ่ายซอฟต์แวร์เหล่านี้ได้ตามต้องการ แตกต่างจากซอฟต์แวร์ปิด (Proprietary Software) ที่มักจะถูกควบคุมโดยบริษัทและไม่อนุญาตให้มีการแก้ไขหรือเผยแพร่โค้ด
เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น โอเพนซอร์สคล้ายกับ “สูตรขนม” แต่แทนที่จะขายลิขสิทธิ์ให้ร้านค้าก็เป็นการแจกสูตรให้ทุกคนนำไปทำ แก้ไข หรือต่อยอดเป็นเมนูอื่นๆ ได้ฟรี โอเพนซอร์สก็เป็น “สูตรสร้างซอฟต์แวร์” ที่เปิดให้ทุกคนเห็นและพัฒนาร่วมกัน
ในโลกของเอไอ เมื่อนักพัฒนาเลือกสร้างโมเดลแบบโอเพนซอร์ส ก็ทำให้คนอื่นสามารถ “ใช้ ศึกษา และพัฒนาต่อยอด” ได้โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ ยกตัวอย่างเช่น Stable Diffusion เอไอวาดภาพที่ทุกคนสามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้ Llama ของเมตา โมเดลภาษาที่เปิดให้ใช้และพัฒนาต่อ หรือ DeepSeek ที่พัฒนามาแบบโอเพนซอร์ส
“เราไม่สามารถพึ่งพาระบบที่เป็นของคนใดคนหนึ่งหรือปิดไว้ได้ เพราะโลกนี้มีความหลากหลายทั้งในเรื่องภาษา วัฒนธรรม และความสนใจของผู้คน ดังนั้น การฝึกหรือพัฒนาระบบเอไอต้องอาศัยความร่วมมือจากทั่วโลก
อนาคตของเอไอควรจะเป็นแบบโอเพนซอร์ส เพื่อให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ และสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประชาธิปไตย เพราะต่อไปเอไอจะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเรา มันเหมือนกับคลังข้อมูลขนาดใหญ่” เลอเกิง กล่าว
เอไอยังคงเป็นแค่เทคโนโลยีที่ตามหลังมนุษย์
แม้ว่าโอเพนซอร์สจะมีประโยชน์ต่อชุมชนนักพัฒนา แต่ก็ยังได้รับคำวิจารณ์บ่อยๆ คือ การเปิดเผยซอร์สโค้ดอาจสร้างช่องโหว่ให้แฮ็กเกอร์หรือผู้ประสงค์ร้ายนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี และถ้าไม่มีแนวทางป้องกันการโจมตีก็อาจเป็นอันตรายต่อสังคมโดยรวม
เลอเกิง อธิบายว่า ประเด็นนี้มีการพูดถึงเป็นวงกว้าง ส่วนใหญ่เป็นแค่เรื่องที่คิดขึ้นมาเอง รายงานจาก RAND Corporation ศึกษาว่า ระบบที่มีอยู่ในปัจจุบันช่วยให้คนที่มีเจตนาร้ายสามารถสร้างสูตรสำหรับอาวุธชีวภาพได้ง่ายขึ้นหรือไม่ คำตอบคือ ไม่เป็นอย่างนั้น
“โมเดลโอเพนซอร์สที่มีอยู่ขณะนี้มันยังไม่ฉลาดขนาดนั้น มันถูกฝึกจากข้อมูลสาธารณะที่มีอยู่ ซึ่งแปลว่า มันไม่สามารถคิดอะไรใหม่ๆ ได้เอง มันจะเอาข้อมูลที่มันเรียนรู้จากสาธารณะมาใช้ ซึ่งก็เหมือนกับการค้นหาจากกูเกิล
หลายคนพูดว่าเราต้องควบคุมโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เพราะมันอาจจะอันตราย แต่มันไม่เป็นความจริง ในอนาคต เมื่อเรามีโมเดลที่ฉลาดจริงๆ มันจะช่วยพัฒนาวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ธุรกิจ และช่วยทำให้การแปลภาษาผ่านได้ในทันที โดยไม่ต้องมีอุปสรรคทางวัฒนธรรม
ดังนั้น โอเพนซอร์สจึงเป็นแนวทางพัฒนาเอไอที่เป็นประโยชน์มาก เราต้องมาคิดว่าความเสี่ยงและผลประโยชน์มันเป็นอย่างไร ควรจะพยายามเก็บเทคโนโลยีนี้ไว้ไม่ให้คนไม่ดีได้ใช้ หรือเปิดให้กว้างที่สุดเพื่อให้ความก้าวหน้ารวดเร็วที่สุด และทำให้คนไม่ดีตามไม่ทัน?
ตัวของผมเอง คิดว่า เราควรเปิดให้กว้างเพื่อให้การพัฒนามันไปข้างหน้าอย่างเร็วที่สุด แล้วเอาเอไอดีของเราต่อสู้กับเอไอไม่ดีแบบนี้จะดีกว่า เช่นเดียวกับที่สังคมมีตำรวจหรือกองทัพคอยรักษาความสงบ”
เลอกิง แสดงทัศนะเพิ่มอีกว่า เอไอแม้จะฉลาดแค่ไหนแต่ก็ถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้มนุษย์ มนุษย์เป็นผู้ตั้งเป้าหมายให้มัน เอไอไม่มีความต้องการเชิงอำนาจโดยกำเนิด เพราะฉะนั้นการสร้างเอไอให้มีความคิดอยากครองอำนาจเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีใครอยากซื้อเอไอแบบนั้นอยู่แล้ว
“การพัฒนาเอไอให้มีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 5 ปี และอาจยากกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่การแข่งขันระหว่างโอเพนซอร์สและโคลสซอร์สที่กำลังเกิดขึ้น อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรมและการพัฒนาที่รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะในด้านของการสร้างระบบเอไอที่มีความเข้าใจในบริบทของโลก และมีความสามารถในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น”
บทเรียนที่ทำให้ OpenAI ต้องทบทวนนโยบายปิดซอร์สโค้ด
วงการเอไอแบ่งเป็นสองฝ่ายในประเด็นการเปิดเผยซอร์สโค้ด ฝ่ายที่สนับสนุนมองว่าจะช่วยให้เทคโนโลยีพัฒนาเร็วและเป็นประชาธิปไตย เพราะใครๆ ก็นำไปต่อยอดได้ ส่วนฝ่ายที่คัดค้านเชื่อว่าการปิดเป็นความลับจะปลอดภัยกว่า
แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ผู้บริหารของโอเพนเอไอ (OpenAI) ได้แสดงความเห็นผ่านเว็บไซต์ Reddit ว่า ที่บริษัทไม่เปิดเผยซอร์สโค้ดในตอนนี้เพราะต้องการควบคุมความปลอดภัย แต่ในอนาคตอยากให้เปิดเผยมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
“ที่ผ่านมาเราอาจเลือกทางผิด ควรจะต้องคิดใหม่เรื่องการเปิดให้คนเข้าถึงเทคโนโลยีของเรา” อัลต์แมนกล่าวพร้อมยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนในบริษัทจะเห็นด้วย และตอนนี้บริษัทยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องจัดการ
โอเพนเอไอเริ่มต้นในปี 2015 ด้วยแนวคิดจะเผยแพร่งานวิจัยและข้อมูลสู่สาธารณะ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นปิดเป็นความลับ โดยอ้างว่าเพื่อการแข่งขันและความปลอดภัย ทำให้อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ร่วมก่อตั้งที่ลาออกไปในปี 2018 ถึงกับฟ้องร้องและกล่าวหาว่าอัลต์แมนทรยศต่อภารกิจเดิมของบริษัท
หลังแชตจีพีที (ChatGPT) เปิดตัวปลายปี 2022 บริษัทเอไอส่วนใหญ่ต่างปิดบังข้อมูลเทคโนโลยีของตน มีเพียงเมตาเท่านั้นที่แตกต่าง โดยเปิดเผยโมเดล Llama บางส่วน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ที่ต้องการครองอิทธิพลในโลกออนไลน์
แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนเมื่อ DeepSeek สร้างความตื่นตระหนกให้วงการด้วยการพัฒนาเอไอต้นทุนต่ำและแจกจ่ายโค้ดฟรี นอกจากนี้ เอไอสัญชาติจีนยังมีความสามารถใกล้เคียงกับยักษ์ใหญ่อย่างโอเพนเอไอและกูเกิลทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าลูกค้าจะหันไปใช้บริการฟรีแทนบริการที่ต้องจ่ายเงิน
โอเพนเอไอจึงกำลังพิจารณาโมเดลโอเพนซอร์สบ้าง โดยมองว่าไม่น่ากระทบรายได้มากนัก เพราะยังมีรายได้จากแชตจีพีทีเวอร์ชันเสียค่าบริการรายเดือนที่คนนิยมใช้ และการเปิดให้นักพัฒนานำโค้ดไปต่อยอดจะช่วยให้แข่งขันกับ DeepSeek และบริษัทอื่นๆ ที่แจกโค้ดฟรีได้
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้มีความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทกำลังระดมทุน 40 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งสูงถึง 300 พันล้านดอลลาร์