‘บลูบิค’ แนะ 5 แนวทาง พาองค์กรฝ่า ‘วิกฤติโควิด-19’

‘บลูบิค’ แนะ 5 แนวทาง พาองค์กรฝ่า ‘วิกฤติโควิด-19’

ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีลดความเสี่ยงติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับก่อให้เกิดปรากฏการณ์และเป็นโอกาสให้กับธุรกิจบางประเภทเช่นเดียวกัน เช่น ธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์ และบริการส่งอาหาร

“ขณะที่หลายธุรกิจกำลังชะลอตัว แต่ภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และฟู้ด เดลิเวอร์รี่ กลับเติบโตสวนทาง ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ประกอบกับสถานการณ์ที่ไม่เอื้อต่อการออกไปจับจ่ายใช้สอยได้อย่างสบายใจในที่สาธารณะเหมือนเช่นเคย รวมทั้งใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น ทำให้การสั่งสินค้าออนไลน์ และการส่งอาหารเติบโตขึ้น ฉะนั้นหากธุรกิจหันมาเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายให้เป็นช่องทางออนไลน์มากขึ้น จะเป็นแต้มต่อและช่วยรักษาโอกาสทางการค้าในช่วงความท้าทายนี้ได้ รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ ก็ไม่ควรมองข้ามการใช้เทคโนโลยี และโซเชียล มีเดีย มาปรับใช้ เพื่อรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นทั้งปัจจุบันและอนาคต" 

บลูบิค ได้วางแนวทางปฏิบัติเร่งด่วน (Quick Win) สำหรับองค์กร เพื่อไม่ให้ธุรกิจหยุดชะงักมีความต่อเนื่อง ดังต่อไปนี้

1.วางแผนต่อเนื่องทางธุรกิจและการซักซ้อม องค์กรควรเริ่มจัดทำหรือทบทวนแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Plan: BCP) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแผนที่มีอยู่นั้นเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต เช่น การปฏิบัติงานร่วมกับคู่ค้า จัดสรรทรัพยากรอย่างพอเพียง ทดสอบแผนดังกล่าวเพื่อให้มั่นใจว่า หากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ขยายวงกว้างหรือเข้าสู่เฟสที่ 3 จนไม่สามารถดำเนินธุรกิจแบบปกติได้ ธุรกิจจะดำเนินกิจการอย่างไร เพื่อกระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้น้อยที่สุด

2.สื่อสารเพื่อลดความตื่นตระหนก องค์กรควรจัดให้มีการสื่อสารเกี่ยวกับ แผน BCP พร้อมแนวทางปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน เข้าใจบทบาทหน้าที่รับผิดชอบ หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้การดำเนินงานไม่สามารถดำเนินได้ตามปกติ รวมทั้งสื่อสารนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องให้พนักงานทราบวิธีปฏิบัติตัว เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เสี่ยงที่จะทำให้ตัวเองได้รับเชื้อโคโรนา และสื่อสารมาตรการดูแลและป้องกันสุขภาพของพนักงานและต้องให้พนักงานปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำผ่านช่องทางที่เข้าถึงง่าย เช่น ไลน์กลุ่ม

3.แยกกลุ่มพนักงานเพื่อบริหารความเสี่ยง หัวใจสำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจ คือ พนักงาน ฉะนั้นจึงควรปิดความเสี่ยง แบ่งกลุ่มพนักงานในฝ่ายงานสำคัญต่างๆ อย่างน้อย 2 กลุ่ม โดยไม่ให้พบปะกันโดยตรง ลดความเสี่ยงติดเชื้อทั้งกลุ่ม แยกกลุ่มพนักงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พนักงานขาย ออกจากพนักงานที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า และปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานคนละที่ได้ เช่น วีอีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ และ Collaboration tools ต่างๆ

4.ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ลดความเสี่ยงติดเชื้อ “เครื่องสแกนลายนิ้วมือ” ถือเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค แม้ทำความสะอาดอยู่เสมอก็ตาม องค์กรควรพิจารณาหันมาใช้ระบบจดจำใบหน้าแบบชีวภาพ (Biometric Facial Recognition) เปลี่ยนการชำระเงินเป็นแบบไร้เงินสด ลดการใช้ธนบัตรหรือเหรียญ ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงแพร่ไวรัส ในองค์กรที่มีจำนวนร้านค้าภายในจำนวนมาก อาทิ ศูนย์อาหาร หรือโรงอาหาร 

ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง การให้บริการที่จอดรถที่ต้องแจกบัตรเข้าออกลานจอดรถ สามารถนำเทคโนโลยีไอโอที (Internet of Thing) มาเชื่อมต่อกับระบบที่จอดรถ เช่น ใช้เทคโนโลยี  เอแอลพีอาร์ (Auto license plate recognition) ที่สามารถอ่านป้ายทะเบียนรถที่เข้าออกที่จอดรถและเชื่อมต่อกับไม้กั้นที่เปิดปิดแบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้บัตรผ่านเข้าออก เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อโรคจากผู้ใช้งาน ลดความเสี่ยงติดเชื้อระหว่างบุคคลที่เข้าออกอาคาร

5.ประเมินคู่ค้า วางแผนสำรองและหาแหล่งทดแทน ภาคการผลิตที่ต้องพึ่งพาวัสดุอุปกรณ์จากประเทศจีนเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าในหมวดคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ อาจประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบหรือต้นทุนในการผลิตได้ ฉะนั้นองค์กรควรจัดทำแผนด้านซัพพลายเชนเพื่อเสาะหาแหล่งผลิตสำรองโดยการหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตภายในประเทศหรือประเทศอื่นรวมทั้งวางแผนสำรองวัตถุดิบเพื่อการผลิต รวมทั้งต้องพิจารณาแผนในกรณีที่โรงงานในประเทศจีนเริ่มกลับมาทำงานเป็นปกติไว้ด้วย