'ถุงเพาะ' ย่อยง่าย

'ถุงเพาะ' ย่อยง่าย

ปลูกต้นไม้โดยไม่ต้องถอดถุงพลาสติกทิ้งเป็นขยะ นักวิจัยพีทีที โกลบอล เคมิคอล พัฒนาสารควบคุมการย่อยของจุลินทรีย์

สาลินีย์ ทับพิลา - รายงาน

ปลูกต้นไม้โดยไม่ต้องถอดถุงพลาสติกทิ้งเป็นขยะ นักวิจัยพีทีที โกลบอล เคมิคอล พัฒนาสารควบคุมการย่อยของจุลินทรีย์ ปรับแต่งคุณสมบัติการย่อยสลายของพลาสติกชีวภาพได้ตามต้องการ ต่อยอดสู่ถุงเพาะ ย่อยสลายได้ 100%

แม้จะมีเทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อมมานานหลายปี กระแสพลาสติกชีวภาพก็ยังอยู่ในวงเล็ก ๆ ด้วยราคาสูง และเงื่อนไขหลายประการ อาทิ การขึ้นรูป คุณสมบัติที่ยังไม่ตอบโจทย์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) ในบทบาทของผู้นำเข้าเม็ดพลาสติกชีวภาพจึงจำเป็นต้องวิจัยนำร่อง หาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงของนวัตกรรมนี้

:: ต้นน้ำวิจัยสู่ปลายน้ำ

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) ได้ริเริ่มการใช้สารจากแหล่งกำเนิดในธรรมชาติ (Bio-resource) ในกลุ่ม Polylactic Acid (PLA) ซึ่งเป็นพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ที่ผลิตจากกระบวนการหมักทางชีวภาพจากข้าวโพด มาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยออกแบบและประยุกต์พลาสติกชีวภาพ

ดร.ศีลพงศ์ ใบเงิน นักวิจัยอาวุโส หน่วยงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า สินค้าหลักของเราคือ เม็ดพลาสติก หนึ่งในนั้นคือ เม็ดพลาสติกชีวภาพ ที่ตลาดยังใหม่ จำเป็นต้องมีการให้ความรู้ ความเข้าใจโดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ใช้จริง เราจึงมองว่า หากสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอการใช้งานพลาสติกชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพก็จะช่วยกระตุ้นความสนใจ ส่งให้เกิดการใช้งานพลาสติกชีวภาพอย่างแพร่หลาย

การย่อยสลายของพลาสติกชีวภาพจำเป็นต้องมีเงื่อนไขต่างๆ อาทิ ความร้อน ฯลฯ เป็นตัวกระตุ้นการย่อย แต่ในพื้นที่การเกษตรของไทยมักมีความชื้นสูง โดยเฉพาะบนดอย ทำให้การย่อยสลายเกิดขึ้นน้อย ไม่สามารถย่อยสลาย 100%

“ทีมวิจัยจึงพัฒนาโซลูชั่น ด้วยการสร้างสารเร่งการย่อยของจุลินทรีย์ เพื่อควบคุมจุลินทรีย์ให้มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายพลาสติกชีวภาพในข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการประยุกต์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีความต้องการใช้งานที่ต่างกัน” ดร.ศีลพงศ์อธิบาย

งานวิจัยจึงนำร่องพัฒนาเป็นถุงเพาะ โดยมีเงื่อนไขคือ เมื่ออยู่บนดินต้องแข็งแรง และย่อยสลายเมื่ออยู่ในดิน

ซึ่งความท้าทายคือ การควบคุมการย่อยสลายของถุงเพาะ เนื่องจากถุงเพาะสำหรับพืชแต่ละชนิดมีความต้องการที่ต่างกัน พืชอายุสั้น จะถูกเพาะอยู่บนดิน 2 สัปดาห์ ก่อนปลูกลงดิน ในขณะที่พืชกลุ่มไม้ยืนต้น ต้องมีการปลูกบนดินนานพอที่รากจะแข็งแรง ขนาดต้นใหญ่ตามต้องการ ถุงเพราะต้องรองรับน้ำหนักของต้นไม้ และความทนทานที่ต้องรองรับการขนส่ง

:: วิจัยใช้ได้จริง

ถุงเพาะย่อยสลาย Corn-Cern-Life C Power 3 เกิดขึ้นโดยทีมวิจัยพัฒนาถุงเพาะสำหรับพืชทั้ง 2 ประเภท โดยถุงเพาะสำหรับพืชอายุสั้นนั้น จะสามารถอยู่บนดินไม่เกิน 1 เดือน เมื่อนำลงดินแล้ว ต้องย่อยสลายได้ 100% ส่วนพืชยืนต้นนั้น ถุงเพาะจะอยู่บนดินได้นาน 8-10 เดือน และย่อยสลายได้ 100% เมื่อปลูกลงดิน

“ปกติ ถุงเพาะจากพลาสติกธรรมดาจะต้องฉีกถุงออกก่อนจึงจะนำต้นไม้ลงดิน แต่สิ่งที่ตามมาคือ ต้องใช้แรงงานคนเพิ่มในการฉีกถุง มีขยะพลาสติกจำนวนมาก และอาจกระทบกระเทือนรากของต้นไม้นั้นๆ แต่ถุงเพาะจากพลาสติกชีวภาพนั้น จะช่วยลดแรงงาน ลดการกระทบกระเทือนของราก และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” หัวหน้าทีมวิจัยย้ำ พร้อมชี้ว่า ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ ราคาสูงเมื่อเทียบกับพลาสติกธรรมดา เนื่องจากเป็นเม็ดพลาสติกชีวภาพที่นำเข้าจากสหรัฐ

อย่างไรก็ดี พีทีที โกลบอล เคมิคอล มีแผนลงทุนในบริษัม เนเจอร์ เวิร์ค ที่เป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพของสหรัฐ และกำลังจะตั้งฐานการผลิตแห่งที่ 2 ในไทย และปรับเปลี่ยนวัตถุดิบจากข้าวโพดเป็นมันสำปะหลังที่มีมากในไทย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนเม็ดพลาสติกถูกลง

ถุงเพาะย่อยสลายได้ดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งาน โดยทดลองปลูกในพื้นที่จริง บนพื้นที่โครงการหลวง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนเป็นหลัก

สำหรับเฟส 2 ทีมวิจัยมีแผนจะต่อยอดใช้ผลิตภัณฑ์จากพลาสติกชีวภาพในโครงการหลวงทั้งหมด และจะเริ่มขยายไปในกลุ่มเกษตรกรของโครงการหลวงรวมถึงกลุ่มโรงเรียนรอบๆ พื้นที่ เพื่อนำไปใช้ในโรงเพาะชำ หรืออื่นๆ เป็นต้น

ปัจจุบัน งานวิจัยเริ่มเข้าหาผู้ใช้มากขึ้น งานด้านพลาสติกชีวภาพก็เช่นกัน ถูกนำไปต่อยอดใช้ในเรื่องของบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งพีทีที โกลบอล เคมิคอล จะไม่ลงไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ขาย แต่จะวิจัยและส่งต่อให้กับธุรกิจเพื่อสร้างตลาดพลาสติกชีวภาพให้หลากหลายและเติบโต

“สำหรับผลงานวิจัยของเราก็ต่อยอดจากถุงเพาะไปสู่ฟิล์มคลุมดิน จากนั้น จะขยับเข้าสู่บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร อาทิ ถาดสลัดของโครงการหลวงถุงพลาสติก รวมถึงพยายามเข้าไปทดแทนผลิตภัณฑ์ประเภทใช้แล้วทิ้งเพื่อลดการเกิดขยะพลาสติก” ดร.ศีลพงศ์กล่าว