โรงงานไส้กรอกอัตโนมัติ

โรงงานไส้กรอกอัตโนมัติ

ต้นแบบการผลิตไส้กรอกอัตโนมัติแห่งแรกของซีพีเอฟหวังสร้างความมั่นใจด้วยเทคโนโลยีพร้อมแก้ปัญหาขาดแรงงาน

โรงงานอาหารสำเร็จรูปหนองจอก กรุงเทพฯ เป็นความตั้งใจของบริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ให้เป็นต้นแบบการผลิตไส้กรอกอัตโนมัติแห่งแรกในเอเชียเพื่อสร้างความมั่นใจว่าปลอดภัยต่อการบริโภคและมาตรฐานการผลิตที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสามารถแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานคน ปัญหาแรงงานเป็นโจทย์สำคัญให้ ซีพีเอฟ พลิกเกมรับมือด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานในโรงงานผลิตไส้กรอกในจังหวะที่ธุรกิจกำลังรุกไปข้างหน้า

:เทคโนโลยีทดแทนแรงงาน

“ก่อนหน้านี้เราใช้คนในการจัดเก็บวัตถุดิบ แต่ปัจจุบันจะมีหุ่นยนต์ 5 ตัวพร้อมตะกร้าทำหน้าที่จัดเก็บสินค้า ตะกร้าแต่ใบติดตั้งชิพอาร์เอฟไอดีระบุข้อมูลสินค้าอย่างละเอียด ทำให้เกิดความแม่นยำในการทำงานและการตรวจสอบย้อนกลับ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำคลังสินค้าอัตโนมัติ คาดว่าจะเสร็จเดือน ส.ค.นี้ ก็จะทำให้โรงงานไส้กรอกที่นี่เป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดเก็บวัตถุดิบไปจนถึงการผลิตสินค้าสำเร็จรูป” ชลิตา กลัดนิ่ม รองกรรมการผู้จัดการด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กล่าว

เหตุผลที่หลักของการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาทดแทนแรงงานคน เพราะการหมุนเวียนของพนักงานในห้องเย็น (อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส) มีอัตราสูง การเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรจึงเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และยังลดการปนเปื้อนจากการสัมผัสเท่ากับเป็นการลดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในสินค้ารวมถึงจำนวนจุลินทรีย์

ปัจจุบันโรงงานไส้กรอกหนองจอกมีกำลังการผลิต 5,000 ตันต่อเดือน แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นไลน์อัตโนมัติมีกำลังการผลิต 2,000 ตัน ใช้แรงงาน 60 คน ส่วนไลน์ผลิตเดิมมีกำลังการผลิต 3,000 ตันใช้แรงงาน1,000 คน ในอนาคตมีแผนที่ปรับให้เป็นไลน์กึ่งอัตโนมัติ โดยใช้สายพานมาแทนแรงงานแต่ไม่ถึงขั้นเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ขณะที่โรงงานใหม่จะใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมด ทั้งโรงงานไส้กรอกโคราชที่ใช้งบลงทุน 2,000 ล้านบาท กำลังการผลิต 2,500 ตันต่อเดือน บนพื้นที่ 100 ไร่ จะเปิดตัวในปี 2559

"ซีพีเอฟมีโรงงานไส้กรอก 3 แห่ง คือ หนองจอก สระบุรีและนครราชสีมา รวมกำลังการผลิต 9,500-10,000 ตันต่อวัน ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการทำตลาดในอนาคตที่วางแผนเติบโตปีละ 10-15% จากเดิมที่ 2 โรงงานมีกำลังการผลิตเหลืออยู่ประมาณ 20% ตามหลักการจึงต้องสร้างโรงงานใหม่ทำก่อนล่วงหน้า 1-2 ปี เพราะต้องใช้เวลาในการก่อสร้างและ ติดตั้งเครื่องจักร”

:วิถีการตลาด 3 มิติ

ตลาดหลักธุรกิจไส้กรอกของซีพีเอฟ “ไม่ใช่” ต่างประเทศ แต่เป็นตลาดในประเทศที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง จากข้อมูลระบุว่าตลาดไส้กรอกในประเทศไทยมีมูลค่า 44,000 ล้านบาท อยู่ในโมเดิร์นเทรด 50% ตลาดสด 50% แต่ในเชิงปริมาณตลาดสดจะมีสัดส่วนมากกว่า 50% ส่วนใหญ่จะเป็นไส้กรอกเกรดซี

“เรามุ่งแข่งขันในเรื่องคุณภาพสำหรับผู้บริโภคกลุ่มเอและบี มีด้วยกันทั้งหมด 4 แบรนด์ คือ ซีพี, บีเคพี จำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า ส่วนแบรนด์พรีเมียมบุชเชอร์อยู่ในโมเดิร์นเทรด และแบรนด์ซูเปอร์เซฟจำหน่ายในตลาดสด ระยะเวลาเพียง 6 เดือนหลังจากวางจำหน่ายบุชเชอร์สามารถสร้างยอดขายรวมได้ 400 ล้านบาทเป็นอันดับ 1 ในไส้กรอกกลุ่มพรีเมียม”

ทั้งนี้ แนวทางการทำตลาดไส้กรอกของซีพีเอฟ “ต้องโตกว่าตลาด” นั่นหมายความว่า ต้องเข้าไปแย่งชิงลูกค้าจากคู่แข่ง ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมไส้กรอกในรูปแบบต่างๆ เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ จึงจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย

ยกตัวอย่าง ระบบการผลิตอัตโนมัติทดแทนแรงงานคน การคัดเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยมากขึ้น เช่น ใช้พริกปลอดสารเคมีเป็นวัตถุดิบ การคิดค้นนวัตกรรมให้มีรสชาติถูกปากผู้บริโภค รวมถึงบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้ได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์รักษากลิ่นไส้กรอกรมควันให้อยู่ได้นาน

“อนาคตอาหารสดราคาแพง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจะกลายเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น จากเดิมเคยรับประทานเป็นอาหารว่างกลายเป็นอาหารมื้อหลักเหมือนในต่างประเทศ เราจึงต้องพัฒนานวัตกรรมไส้กรอกในทุกมิติเพื่อรองรับความต้องการนี้”ชลิตากล่าวทิ้งท้าย