'นกกระเรียนไทย'ธุรกิจอิงธรรมชาติ

'นกกระเรียนไทย'ธุรกิจอิงธรรมชาติ

ไม่ธรรมดาสำหรับตราสินค้าที่ชื่อ“นกกระเรียนไทย” ริเริ่มจากโครงการปล่อยกระเรียนสู่ธรรมชาติ กลายเป็นโมเดลธุรกิจ

ไม่ธรรมดาสำหรับตราสินค้าที่ชื่อ “นกกระเรียนไทย” ริเริ่มจากโครงการปล่อยกระเรียนสู่ธรรมชาติโดยองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ กลายเป็นโมเดลธุรกิจ สร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับ เกษตรกร จ.บุรีรัมย์ ภายใต้แนวคิดการเกษตรอินทรีย์

“นกกระเรียนเปรียบเสมือนดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์และปลอดภัยของธรรมชาติ เนื่องจากเป็นสัตว์ที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ถึงจะวางไข่และอยู่รอดได้ หมายความว่า พื้นที่นั้นต้องปลอด สารพิษ ผลผลิตทางการเกษตรจากพื้นที่จึงปลอดสารพิษด้วย นี่คือที่มาของตราสัญลักษณ์นกกระเรียนไทย" ชัยอนันต์ โภคสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์สวนสัตว์ 3 สำนักอนุรักษ์และวิจัย องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่าถึงที่มาของแนวคิด

พลิกวิกฤติเป็นโอกาส

เมื่อปี 2551 องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้จัดทำโครงการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทย 60 ตัวจากสวนสัตว์นครราชสีมาคืนสู่พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก และเขตห้ามสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน จ.บุรีรัมย์ จากการสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและสำนักงบประมาณ

จากการสำรวจติดตามของเจ้าหน้าที่พบว่า นกเหล่านั้นไม่รอดชีวิตในธรรมชาติ เมื่อแหล่งอาหารพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ในท้องนามีสารพิษตกค้างจากการใช้สารเคมี ของเกษตรกร จึงเป็นที่มาของแนวคิด "นกอยู่ได้ คนอยู่ได้ ชุมชนมีสุข" ด้วยการสร้างตราสัญลักษณ์ "นกกระเรียนไทย" ขึ้นมาเพื่อให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย ซึ่งเคยหายสาบสูญไปกว่า 40 ปีให้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ขณะเดียวกันยังการันตีคุณภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ในชุมชนว่า ปลอดสารเคมี

ดังนั้น เกษตรกรที่อยากมีรายได้เพิ่มขึ้นต้องใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม และกลับมาหาภูมิปัญญาพื้นบ้านด้วยการทำ“เกษตรอินทรีย์” รักษาสมดุลธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ หลีกเลี่ยงการ ใช้สารสังเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและฮอร์โมนต่างๆ ตลอดจนไม่ใช้พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรม

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ใช้สัญลักษณ์ "นกกระเรียนไทย" จะเป็นข้าวอินทรีย์ของชุมชน น้ำดื่มขององค์การสวนสัตว์ฯ ที่ทำขึ้นเป็นต้นแบบ ในอนาคตคาดว่า จะมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลผลิตทางการเกษตร ออกมามากขึ้น เช่น กุ้งจ่อมคล้ายปลาร้า เป็นกุ้งฝอยตัวเล็กรวมทั้งข้าวปลอดสารพิษ ซึ่งจะมีการตรวจสอบตามขั้นตอนของเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตราสัญลักษณ์

“โมเดลนี้ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์ได้เป็นอย่างดี ประเมินได้จากราคาข้าวจากปกติ 8,000 -10,000 บาทต่อตัน แต่ถ้าเป็นข้าวอินทรีย์อยู่ที่ 10,000-15,000 บาท” ชัยอนันต์ กล่าว

สร้างรายได้จากงานอนุรักษ์

ปัจจุบันเกษตรกรเริ่มทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น เพราะเล็งเห็นว่า การใช้สารเคมีส่งผลกระทบจริง ฉะนั้น แทนที่หน่วยงานรัฐจะใช้มาตรการกฎหมายขอคืนพื้นที่ให้กับนกกระเรียน ย่อมส่งผลกระทบต่อ ชาวบ้าน เราต้องหาทางออกให้ทุกชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขร่วมกัน แถมยังมีรายได้เพิ่มอีกด้วย จะทำให้เกิดความรู้สึกร่วมในการอนุรักษ์นกกระเรียนต่อไป ขณะที่องค์การส่วนสัตว์มีหน้าที่แค่เพาะ พันธุ์แล้วนำไปปล่อย แต่นกจะอยู่รอดได้ก็ต้องอาศัยคนในพื้นที่

เป้าหมายต่อไปของโมเดลนี้ ก็คือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่นาในบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำจึงกลายเป็นแหล่งอนุรักษ์กระเรียนพันธุ์ไทยที่สมบูรณ์ที่สุด อีกทั้งนก กระเรียนเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง 1 ใน 15 ชนิดที่เคยสูญพันธุ์ไปจากป่าธรรมชาติของไทย ดังนั้น เม็ดเงินที่ไหลมาจะกลายเป็นรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง

"ขณะนี้อยู่ระหว่างการสร้างศูนย์การเรียนรู้ พร้อมกับโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้สัญลักษณ์นกกระเรียน เน้นการส่งเสริมข้าวเป็นหลัก ไม่ได้เน้นแปรรูป ยกเว้นเกษตรกรนำไปแปรรูปเพิ่มเติมเอง คาดว่า ในปีหน้าจะเห็นโครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์แบบจริงจัง ในรูปแบบโปรแกรมท่องเที่ยวโดยเป็นการร่วมมือระหว่างองค์การสวนสัตว์กับกรมอุทยานที่เข้ามาสนับสนุน" นักวิทยาศาสตร์สวนสัตว์ กล่าว