ข้าวไร่....พืชทางเลือก

ข้าวไร่....พืชทางเลือก

ม.ขอนแก่นวิจัย ข้าวไร่แก้วิกฤติข้าวไทย สามารถใช้เป็นพืชหมุนเวียน ฟื้นฟูดินได้เช่นเดียวกับพืชชนิดอื่นๆ เตรียมพร้อมสำหรับการปลูกอ้อย

รศ.ดร.กฤตพล สมมาตย์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการถ่ายทอดเทคโนโลยี รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รองอธิการบดีฝ่ายชุมชนสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร และดร.จิรวัฒน์ สนิทชน รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ชุมชน คณะเกษตรศาสตร์ พร้อมด้วย ดร. วรรณวิภา แก้วประดิษฐ์ พลพินิจ อาจารย์ประจำภาควิชาพืชศาสตร์และทรัพยากรการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ เจ้าของผลงานวิจัย ร่วมกันแถลงข่าวผลงานวิจัยเรื่อง“บทบาทของข้าวไร่-พืชตระกูลถั่วต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินและความยั่งยืนของระบบการปลูกอ้อย” ณ ห้องประชุมสิริคุณากร 4 ชั้น 2 อาคารสิริคุณากร สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ข้าวไร่ เป็นพืชทางเลือก ที่นิยมปลูกในพื้นที่ดอน (ดินที่ไม่มีน้ำแช่ขังพบบริเวณที่เป็นเนิน มีการระบายน้ำดี สภาพพื้นที่อาจเป็นที่ราบเรียบ เป็นลูกคลื่น หรือเนินเขา) จึงนิยมปลูกในฤดูฝน โดยมักปลูก 1 ครั้งต่อปี เกษตรกรชาวไร่มักจะปลูกแบบหยอด แทนการหว่านหรือปักดำเช่นการปลูกข้าวนาปี การปลูกข้าวไร่อาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว เมื่อสิ้นฤดูฝนพื้นดินที่ปลูกข้าวไร่จะแห้งทันที ฉะนั้นการปลูกข้าวไร่จะต้องใช้พันธุ์ที่มีอายุเบา และเก็บเกี่ยวช่วงปลายฤดูฝน ข้าวไร่จึงมีลักษณะที่ไม่ต่างจากข้าวนาปีทั่วไป

ปัจจุบันชาวไร่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมปลูกข้าวไร่ หมุนเวียนกับพืชไร่หลากชนิด เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด สัปปะรด เพื่อใช้เป็นพืชหมุนเวียนบำรุงดิน เนื่องจากได้ประโยชน์ 2 ชั้นคือ ช่วยปรับสภาพหน้าดิน และสามารถเก็บเกี่ยวข้าวใช้บริโภคในครัวเรือนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าข้าวไร่สามารถบำรุงดินได้ดีมีคุณภาพเทียบเท่ากับปอเทือง และ ถั่ว

จึงเป็นที่มาของผลงานวิจัยเรื่อง “บทบาทของข้าวไร่-พืชตระกูลถั่วต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินและความยั่งยืนของระบบการปลูกอ้อย” โดย ดร.วรรณวิภา แก้วประดิษฐ์ พลพินิจ ได้นำทีมนักวิจัยทำการทดลองในพื้นที่ดินของเกษตรกรบ้านนาหว้า ตำบลบ้านแฮด อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น

รศ.ดร.กฤตพล สมมาตย์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการถ่ายทอดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ผลงานวิจัยครั้งนี้ จึงถือเป็นมิติใหม่แห่งวงการนักวิจัยด้านเกษตร ในการค้นพบพืชทางเลือกอย่างเช่นข้าวไร่ ที่สามารถใช้เป็นพืชหมุนเวียน ฟื้นฟูดินได้เช่นเดียวกับพืชชนิดอื่นๆ คาดว่างานวิจัยชิ้นนี้จะสามารถเพิ่มคุณประโยชน์ สร้างเศรษฐกิจ และทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยดียิ่งขึ้น

ดร.วรรณวิภา แก้วประดิษฐ์ พลพินิจ กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้เกิดจากการสะท้อนปัญหาของเกษตรกรอย่างแท้จริง โดยการนำปัญหาของเกษตรกรมาต่อยอด เพื่อคลายความกังวลในเรื่องคุณภาพการบำรุงดินของข้าวไร่ ซึ่งยังไม่มีผลการวิจัยรองรับว่าสามารถปรับสภาพดินเพื่อพร้อมสำหรับการปลูกอ้อยได้ดี เช่นเดียวกับ ปอเทือง และถั่วเหลือง ดังนั้นเพื่อให้เกษตรกรมั่นใจในการปลูกข้าวไร่ พืชทางเลือกชนิดใหม่นอกจากใช้บำรุงดินแล้วยังใช้ในการบริโภคในครัวเรือนได้ จึงเกิดงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมา

จากการทดสอบดินในไร่อ้อยพบว่าดินก่อนการทดลอง เป็นดินทรายและมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีอินทรียวัตถุในดินน้อย ภายหลังการปลูกพืช 3 ชนิด ได้แก่ ปอเทือง ถั่วเหลือง และข้าวไร่ เปรียบเทียบกัน 3 แปลง พบว่าดินทั้ง 3 แปลงมีปริมาณอินทรียวัตถุสูงกว่าในดินก่อนการทดลอง โดยไม่แตกต่างกันในเชิงสถิติระหว่าง 3 กรรมวิธีดังกล่าว

จากผลการทดลอง แม้การปลูกถั่วเหลืองจะส่งผลให้ดินมีอินทรียวัตถุในดินและหลังเก็บเกี่ยวอ้อยไม่แตกต่างจากการปลูกข้าวไร่ที่ได้รับปุ๋ยเคมี แต่การปลูกข้าวไร่ที่ได้รับปุ๋ยเคมีนั้นส่งผลให้ดินมีปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ และแคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินเพิ่มสูงขึ้นมากกว่ากรรมวิธีการปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่นๆ

ดังนั้น เกษตรกรจึงควรพิจารณาเลือกชนิดของพืชหมุนเวียนก่อนปลูกอ้อยในแง่ของผลตอบแทนทางเศรษฐกิจควบคู่กับความพร้อมทางแรงงานและต้นทุนในการปลูก ตลอดจนการดูแลรักษาพืชหมุนเวียนด้วย หากเกษตรกรไม่มีความพร้อม

การปล่อยให้วัชพืชขึ้นคลุมแปลงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งส่งผลให้ดินมีอินทรียวัตถุในดินไม่แตกต่างจากการปลูกข้าวไร่และถั่วเหลือง งานทดลองนี้จึงสรุปได้ว่าการปลูกข้าวไร่เป็นพืชนำก่อนปลูกอ้อยส่งผลให้อ้อยที่ปลูกตามมีผลผลิตที่สูงขึ้นมากกว่าการปลูกถั่วเหลือง และยังสามารถเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินได้โดยไม่แตกต่างกับการปลูกถั่วเหลืองอีกด้วย

ผลงานวิจัยนี้ถือเป็นเครื่องที่ช่วยยืนยันว่าข้าวไร่เป็นพืชที่สามารถเพิ่มธาตุอาหารและความอุดมสมบูรณ์ของดินและช่วยปรับปรุงโครงสร้างทางกายภาพของดินได้ดีไม่น้อยกว่าถั่วเหลืองและปอเทืองนอกจากนี้ ข้าวไร่ยังถือเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกที่น่าจับตามอง เพราะนอกจากจะปลูกง่าย ใช้น้ำน้อย เหมาะต่อภูมิศาสตร์และภูมิอากาศที่ยากจะควบคุมของประเทศไทยแล้ว คุณภาพของข้าวไร่บางสายพันธุ์ยังเทียบเท่ากับข้าวนาปีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน จึงทำให้คนกลุ่มหนึ่งหันมาบริโภคข้าวไร่ที่มีคุณภาพไม่แตกต่างกัน ซ้ำยังมีราคาถูกกว่าอีกด้วย

ดร.จิรวัฒน์ สนิทชน รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ชุมชน คณะเกษตรศาสตร์ เผยถึงสถานการณ์ข้าวไร่ในประเทศไทยว่า ปัจจุบันข้าวไร่นิยมปลูกเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่มีตลาดค้าข้าวขนาดเล็ก ซึ่งเป็นตลาดสำหรับกลุ่มคนพิเศษ อาทิ กลุ่มผู้บริโภครักสุขภาพ กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นตลาดขนาดสั้น พบกันระหว่างผู้บริโภค และผู้ผลิต สาเหตุที่ยังเป็นตลาดขนาดเล็ก เพราะ ข้าวไร่ส่วนใหญ่ เช่น พันธุ์พญาลืมแกง พันธุ์ลืมผัว มีลักษณะพิเศษคือเม็ดใหญ่ จึงทำโรงสีข้าวไม่นิยมรับซื้อและให้ราคาต่ำ แต่ข้าวไร่บางสายพันธุ์มีคุณภาพดี หอมและอร่อยมาก

ฉะนั้น เกษตรกรจะต้องหาทางออก เช่น แปรรูปผลิตภัณฑ์ ปลูกข้าวอินทรีย์ การรณรงค์บริโภคข้าวพื้นเมือง ตลอดจนการให้ข้อมูลกระตุ้นผู้บริโภค เช่นข้าวดำ มีสารต้านโรคมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ เพื่อสร้างตลาดพิเศษร่วมกัน โดยไม่หวังพึ่งตลาดกระแสหลักเพียงอย่างเดียวซึ่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่าเป็นการตลาดแบบผูกขาดและมีความเสี่ยงสูง

อย่างไรก็ตามหากนโยบายภาครัฐต่อการค้าข้าว เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ เพราะอนาคตของส่วนรวมทั้งประเทศ มีการแข่งปริมาณ และแข่งคุณภาพ ซึ่งขณะนี้ไทยมีคุณภาพคือ ข้าวหอมมะลิที่ติดอันดับโลก ทั้งนี้ข้าวหอมมะลิก็มีเพื่อนบ้านเป็นคู่แข่งด้วย แน่นอนว่าเราน่าจะหาทางเลือกการตลาด สร้างข้าวในลักษณะพิเศษ เพื่อทำตลาดแข่งขันระดับโลกมากขึ้น ฉะนั้นแนวโน้มที่ข้าวไร่จะกลายเป็นข้าวกระแสหลักก็สามารถเป็นไปได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ผู้บริโภค และตลาดยอมรับ มหาวิทยาลัยขอนแก่นก็พร้อมที่จะช่วยเกษตรกร ทำตลาดพิเศษให้ได้รับความนิยมมากขึ้นได้

“โลกเปลี่ยนแปลง นาก็แล้ง น้ำท่วม ฉะนั้นไม่ว่าจะ ฝนตกน้ำท่วม ข้าวไร่ก็ไม่ได้รับการกระทบ ถ้าฝนแล้งข้าวนาก็แล้ง แต่ข้าวไร่ต้องการน้ำน้อยยังพอให้ผลผลิตได้ ฉะนั้นผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลก จะกระทบอย่างรุนแรงกับข้าวนาแต่จะน้อยมากกับข้าวไร่ ข้าวไร่จึงถือเป็นพืชทางเลือกที่น่าจับตามอง จากสถานการณ์วิกฤติข้าวไทย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลก ในปัจจุบัน การส่งเสริมเกษตรกรให้หันมาปลูกข้าวไร่ พืชทางเลือก ไม่แน่ว่าอาจพลิกวิกฤติเป็นโอกาสสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยก็เป็นได้ ” ดร.จิรวัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้จัดตั้งโครงการปรับปรุงและอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมือง โดยสัญจรให้ควงามรู้ต่อการขยายพันธุ์ข้าวทั่วประเทศ ตลอดจนอบรมการแปรรูปข้าวไร่ไปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังจัดตั้งศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ ณ บ้านนาหว้า อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น และประสานกับกรมข้าว ซึ่งมีพันธุ์ข้าวจำนวนมากที่เก็บสะสมไว้ในธนาคารพันธุกรรม เราพยายามศึกษา อนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมือง โดยจัดฝึกอบรมให้เกษตรกรที่มีความสนใจ ต่อไปเราจะส่งเสริมทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และพร้อมที่จะพัฒนาในแง่ของการ ไปใช้ประโยชน์ ของเกษตรกรไทย สร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนด้วยข้าวไทย

หากเกษตรกรท่านสนใจรับพันธุ์ข้าวไร่สามารถติดต่อได้ที่ นายสวัสดิ์ แก่นพิมพ์ โทร.08-0762-2039, นายสยาม ศรีจันทึก 08-7866-1804 ,นายคำพอง จันทรรินทร์ 08-9502-1802 ทั้งนี้สามารถขอคำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับการปลูกพืชและปรับปรุงบำรุงดินติดต่อ ดร.วรรณวิภา แก้วประดิษฐ์ พลพินิจ 08-3599-4341 ([email protected]) และคำปรึกษาเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวไร่ สามารถติดต่อที่ ดร.จิรวัฒน์ สนิทชน 081-5674364