'หญ้าหมอน้อย'ทางเลิกสิงห์พ่นควัน

'หญ้าหมอน้อย'ทางเลิกสิงห์พ่นควัน

หญ้าหมอน้อย สมุนไพรเลิกบุหรี่ตำรับหมอชาวบ้านของไทย คืออีกทางเลือกสำหรับนักสูบบุหรี่ตัวยงที่คิดอยากจะลด ละ เลิกสูบอย่างจริงจัง

:วิจัยต่อยอดปราชญ์ชาวบ้าน

ผศ.ดร.ดลรวี ลีลารุ่งระยับ ภาควิชากายภาพบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า 5 ปีก่อนทีมวิจัยได้รับโจทย์จากศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ทำการศึกษาวิจัยและต่อยอดภูมิปัญญาชาวบ้านเรื่องหญ้าหมอน้อย หรือหญ้าดอกขาว ว่ามีฤทธิ์ในการทำให้นักสูบบุหรี่ทั้งหลายลาจากบุหรี่อย่างถาวรได้จริงหรือไม่ รวมถึงนำองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เลิกบุหรี่เชิงพาณิชย์ลดพึ่งพายาเลิกบุหรี่นำเข้าที่มีราคาแพง

สูตรการใช้หญ้าหมอน้อยในสมัยโบราณนั้น นิยมนำไปเคี่ยว โดยนำสมุนไพรหญ้าหมอน้อยแห้งประมาณ 20 กรัมผสมน้ำ 3 แก้ว แล้วเคี่ยวจนเหลือเพียง 1 แก้ว นำไปให้คนที่จะเลิกบุหรี่อมในปากประมาณ 1-2 นาที แล้วจึงกลืน จากนั้นค่อยสูบบุหรี่ น้ำเคี่ยวดังกล่าวจะทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆจนทำให้ไม่อยากบุหรี่ในที่สุด

ทีมวิจัยได้นำองค์ความรู้ดังกล่าวมาต่อยอด โดยการศึกษาสารสำคัญที่พบในหญ้าหมอน้อย รวมถึงพัฒนากระบวนการเคี่ยวเพื่อให้ประสิทธิภาพในการเยียวยานักสูบยังคงอยู่และได้ผลดีเมื่อนำไปใช้จริง ซึ่งปัญหาของการแปรรูปเป็นชาชงดื่มนั้น อยู่ที่ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ต้องเสียเวลาชงดื่มทำให้ไม่ได้ผลในการส่งเสริมให้ใช้งานเท่าที่ควร

เมื่องานวิจัยแล้วเสร็จราวปี 2554 องค์ความรู้ดังกล่าวถูกส่งต่อให้กับทีมวิจัยของ รศ.ปราโมทย์ ทิพย์ดวงตา จากคณะเภสัชศาสตร์ จากมช.และทีมงานโดยทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภาคเหนือ ในการต่อยอดจากชาชงดื่มเป็นลูกอมหญ้าหมอน้อยแบบอัดเม็ด เพื่อให้นักสูบทั้งหลายใช้งานสมุนไพรเลิกบุหรี่ได้สะดวกยิ่งขึ้น

“ทีมวิจัย นำชาหญ้าหมอน้อยมาเคี่ยวแล้วทำให้เป็นผงแห้งก่อนการอัดเม็ด ทำให้ผู้ที่คิดจะเลิกบุหรี่สามารถพกพายาอมไปได้ทุกที่ โดยวิธีใช้ก่อนสูบบุหรี่ทุกครั้ง ให้อมลูกอมไว้ในปากจนละลายหมด แล้วสูบบุหรี่ ลูกอมสมุนไพรดังกล่าวจะทำให้รสชาติบุหรี่เปลี่ยนไป กระทั่งไม่อยากที่จะสูบในที่สุด”นักวิจัย กล่าว

:จากแล็บสู่ห้าง

นักวิจัยจากภาควิชากายภาพบำบัด กล่าวต่อว่า โอกาสทางการตลาดของลูกอมเลิกบุหรี่หญ้าหมอน้อยมีสูงมาก เพราะต้นทุนในการผลิตไม่ได้สูงมากนัก อีกทั้งวัตถุดิบก็หาได้จากธรรมชาติ หรือถ้าจะปลูกเชิงอุตสาหกรรมก็ใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตมาแปรรูปได้แล้ว ไม่ต้องนำเข้าสารสำคัญเพื่อการผลิต และยังไม่มีคู่แข่งที่แปรรูปหญ้าน้อยในท้องตลาดมาก่อน

ที่ผ่านมานักสูบจะเลิกบุหรี่ต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์เลิกบุหรี่ ทั้งรูปของยาอม แผ่นแปะ ที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาแพง แถมมีนิโคตินเป็นสารสำคัญทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อตัวผู้เลิกบุหรี่ เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และสุดท้ายอาจทนไม่ไหวจนล้มเลิกความตั้งใจ

นักวิจัย กล่าวต่อว่า จุดเด่นของลูกอมหญ้าหมอน้อยที่พัฒนาได้นั้น อยู่ที่ใช้งานง่ายสะดวกกว่ารูปแบบชาชงดื่มมาก อมต่อเนื่อง 2 สัปดาห์วันละไม่เกิน 2 แผงบวกกับความตั้งใจจริงของนักสูบที่จะเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง เท่านี้ก็ประสบความสำเร็จได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่ไม่เกิดผลข้างเคียงแล้ว

“อุปสรรคที่จะทำให้ลูกอมหญ้าหมอน้อยไม่ประสบความสำเร็จคือ ความไม่ตั้งใจจริงของผู้เลิกหรือลูกอมหมดแล้วหาซื้ออีกไม่ได้ กินๆหยุดๆก็อาจทำให้มีผลต่อการเลิกบุหรี่ที่ไม่ประสบความสำเร็จก็ได้”นักวิจัย กล่าว

ทีมวิจัยมีแผนจะต่อยอดโครงการวิจัยดังกล่าวด้วยการสร้างแปลงปลูกหญ้าน้อยในเดือนหน้าที่มช.เพื่อควบคุมการผลิตให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง และประโยชน์ในการศึกษาวิจัยต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆต่อไปในอนาคต

สรรพคุณของหญ้าหมอน้อย ยังมีฤทธิ์ด้านการแก้ไข้ แก้ปวด แก้ท้องเฟ้อ ท้องขึ้น ลดบวมอักเสบความดันโลหิตสูง หรือใช้ตำให้ละเอียดมาพอกแก้นมคัด ดูดหนองแก้บวม แก้ตาฟาง ส่วนเมล็ดนำมาป่นให้ละเอียด ใช้ชงกับน้ำร้อนกินเป็นยาขับพยาธิเส้นด้าย ปัสสาวะขัด และไอเรื้อรัง เป็นต้น ซึ่งหากนำมาต่อยอดแบบครบวงจรส่งต่อให้ภาคเอกชนจะมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกเกิดขึ้นอีกมากมาย

ทั้งนี้การนำลูกอมเลิกบุหรี่หญ้าหมอน้อยไปต่อยอดเชิงพาณิชย์นั้น นักวิจัยกล่าวว่า พร้อมส่งต่อโนว์ฮาวให้ภาคเอกชนที่สนใจแล้ว โดยขั้นตอนการต่อยอดต้องนำไปขอการรับรองกับทางอย. และเสนอให้ภาครัฐส่งเสริมให้มีการนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับการลดปริมาณนักสูบในประเทศให้น้อยลง ซึ่งจะมีผลดีในด้านการลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลคนไข้กลุ่มที่ป่วยด้วยสาเหตุจากการสูบบุหรี่ในอนาคตได้เป็นเงินจำนวนมาก

ลูกอมเลิกบุหรี่เป็น 1 ใน 6 ผลงานเด่นของสวทช.ที่จะนำมาจัดแสดงในงาน NSTDA Investors’Day 2013 ภายใต้แนวคิด “เสริมสร้างคุณภาพชีวิต ด้วยธุรกิจเทคโนโลยี” ซึ่งมีผลงานนวัตกรรมอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ ผลิตภัณฑ์ เอ็นพีวี เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช ระบบตรวจนับเซลล์แบบอัตโนมัติด้วยภาพจากอุปกรณ์รับภาพ เป็นต้น โดยเวทีดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้นักวิจัยพบกับนักธุรกิจ และเกิดความร่วมมือในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ ผู้สนใจร่วมงานได้ในวันที่ 12 กันยายน 2556 เวลา 9.00-16.30 น. ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลล์