LINE จับกระแส NFT เครื่องมือพิชิต ‘การตลาดยุคใหม่’

LINE จับกระแส NFT เครื่องมือพิชิต ‘การตลาดยุคใหม่’

NFT กำลังเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับกระแสความนิยมเพิ่มมากขึ้นทั่วโลกในกลุ่มนักลงทุนคนรุ่นใหม่ ทั้งเอ็นเอฟทีประเภทศิลปะ ชิ้นงานสะสม รูปโปรไฟล์ และเกม

ข้อมูลจาก marketresearch.com เผยว่าตลาด NFTs มีมูลค่าถึงประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565 และคาดว่าจะเติบโตแตะ 7 พันล้านดอลล่าในปี 2571

โดยปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต คือ การพัฒนา เอ็นเอฟทีเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเกม ความนิยมสะสมและถือครองดิจิทัลอาร์ตที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เพิ่มโอกาสธุรกิจ พิชิตการตลาด

LINE ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า แม้ช่วงต้นปีนี้ตลาดคริปโทฯ จะไม่สดใสนัก จนส่งผลให้ เอ็นเอฟที ซึมลงตามไปด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่า เอ็นเอฟที จะหมดมนต์ขลัง เพราะ เอ็นเอฟทีs กำลังถูกนำมาใช้ในวงการการตลาด

กลายเป็นเครื่องมือ “การตลาดยุคใหม่” ให้กับแบรนด์ต่างๆ เป็นการกรุยทางสร้างโอกาสในยุค Web 3.0 โดยมีเมตาเวิร์สเป็นตัวเชื่อมประสบการณ์สุดล้ำระหว่างโลกเสมือน และโลกจริงได้อย่างไร้รอยต่อ 

ธรรมรดี ไพรพิรุณโรจน์ หัวหน้าธุรกิจ คอนซูเมอร์ บิสิเนส ไลน์ ประเทศไทย เปิดมุมมองว่า เมื่อกลับมามองในประเทศไทย เอ็นเอฟที ได้เป็นกระแสที่มาแรงเช่นเดียวกัน ดังนั้นนักการตลาดและแบรนด์ ควรเริ่มมองหาโอกาสจากการทำการตลาดด้วยเอ็นเอฟทีเช่นกัน

ต่อยอด NFT สู่การตลาดยุคใหม่

กัญชลี สำลีรัตน์ ผู้ก่อตั้ง DigiNative ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการนำ เอ็นเอฟที มาใช้ในการทำตลาดเบื้องต้นว่า คุณสมบัติสำคัญของ เอ็นเอฟที ที่จะนำมาใช้เพื่อการตลาดมี 3 ลักษณะสำคัญ นั่นก็คือ พิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ มีสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือครอง และมีคอมมูนิตี้รองรับ

“การนำ เอ็นเอฟที ไปใช้ในการตลาด เปรียบเหมือนการสื่อสารของแบรนด์ ที่ใช้ เอ็นเอฟที เป็นตัวกลางในการบอกกับผู้คนว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร ดังนั้นจุดเริ่มต้นจึงไม่ใช่คิดว่าจะทำ เอ็นเอฟที อะไร หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ควรคำนึงถึงว่า เราจะใช้ เอ็นเอฟที ตอบโจทย์แบรนด์ในด้านไหน”

ปัจจุบัน นักการตลาดเริ่มใช้ เอ็นเอฟที ตอบโจทย์แบรนด์ใน 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ การสร้างฐานแฟนคลับ และการตอบแทนสังคม

กัญชลี ได้หยิบยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ ของแบรนด์ชั้นนำ เช่น Robert Mondavi, Adidas และ Dolce & Gabbana ที่ได้ทำงานร่วมกับครีเอเตอร์เอ็นเอฟทีที่มีชื่อเสียง สร้างสรรค์เอ็นเอฟทีเพื่อให้ลูกค้าได้ถือครองในลักษณะ Limited Edition ที่ลูกค้าสามารถใช้เอ็นเอฟทีได้ในโลกเสมือนเมตาเวิร์ส และยังได้รับสินค้าพิเศษและสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมกิจกรรมแบบเอ็กคลูซีฟกับแบรนด์ในโลกจริง

เปิด 3 เคล็ดลับเพิ่มความสำเร็จ

ขณะที่แบรนด์ระดับโลกอย่าง หลุยส์ วิตตอง ได้สร้างสรรค์เอ็นเอฟทีขึ้นมาเพื่อเป็นรางวัล สำหรับแฟนคลับที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมฉลอง 200 ปี ซึ่งผู้ชนะจะต้องฝ่าด่านกิจกรรมต่างๆ เป็นการเชิญชวนสาวกของแบรนด์เข้ามามี Engagement และสร้างความรู้สึกภักดีกับแบรนด์มากขึ้น

หรือแม้แต่ในไทยเอง ก็มีแบรนด์นักกีฬาไทย “บัวขาว บัญชาเมฆ” ออกคอลเลคชั่น เอ็นเอฟที จำนวน 10,000 ชิ้น เปิดจำหน่ายให้แฟนคลับได้ซื้อสะสม และรับสิทธิพิเศษเป็นสินค้าเสื้อและกางเกง รวมถึงการร่วมกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

สุดท้าย หลายแบรนด์ได้ใช้ เอ็นเอฟที เป็นการระดมทุนเข้าโครงการต่างๆ ตามแนวทางที่แบรนด์สนับสนุน และเปิดให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมกับการทำความดี อาทิ Coca-Cola ที่ออก เอ็นเอฟที เพื่อระดมทุนในการสนับสนุนโอลิมปิคสำหรับผู้พิการทางสติปัญญา หรือ Taco bell ที่ระดมทุนเข้ามูลนิธิในการสนับสนุนการศึกษาของเยาวชน เพื่อให้สามารถทำอาชีพในฝันได้

ที่ผ่านมา การใช้งานที่ประสบความสำเร็จมักมี 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1. การบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ที่สะท้อนคุณค่าที่แบรนด์ให้ความสำคัญ 2. การเลือกครีเอเตอร์ที่มาเป็นพันธมิตรในการสร้างสรรค์เอ็นเอฟที ให้ตรงกับสไตล์ที่กลุ่มเป้าหมายชอบ

ขณะที่ 3. แคมเปญจะสำเร็จไม่ได้เลยหากไม่มีการสื่อสารแคมเปญไปถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันการสื่อสารแคมเปญเอ็นเอฟทีมักนิยมใช้ช่องทาง Discord และทวิตเตอร์เป็นหลักในการสื่อสาร