‘Latex Traceability Pilot’ กยท.-เวิลด์แบงก์ ร่วมมือวางระบบยกระดับยางยั่งยืน

‘Latex Traceability Pilot’ กยท.-เวิลด์แบงก์  ร่วมมือวางระบบยกระดับยางยั่งยืน

การผลิตยางธรรมชาติของโลก จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตยางธรรมชาติ (2568) คาดว่า ผลผลิตยางพาราของโลกในปี 2568 อยู่ที่ 14.892 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 14.824 ล้านตัน เติบโตคิดเป็น 0.46% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความมั่นคงใน อุตสาหกรรมยางธรรมชาติทั่วโลก

โดยประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก มีผลผลิตในปี 2567 อยู่ที่ 4.789 ล้านตัน ลดลงเล็กน้อยจากปี 2566 ที่ 4.810 ล้านตัน ลดลงคิดเป็น 0.43% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทผู้เล่นที่สำคัญของไทยในเวลายางพาราโลก ดังนั้นถ้าการผลิตยางพาราจะต้องถูกตรวจสอบด้วยมาตรฐานความยั่งยืน การวางระบบที่ดีในระดับสากลจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ดิษฐเดช วัฒนาพร รองผู้ว่าการด้านปฏิบัติการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ให้การต้อนรับ Mr. Marc Peter Sadler ผู้จัดการระดับภูมิภาคฝ่ายสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของธนาคารโลก (The World Bank) เพื่อหารือความร่วมมือในโครงการนำร่อง Latex Traceability Pilot มุ่งยกระดับความโปร่งใสและเพิ่มความเชื่อมั่นของตลาดโลก พร้อมขยายโอกาสยางพาราไทยในเวทีสากลWorld Bank Visits RAOT to Discuss Potential Collaboration on Latex Traceability, Aiming to Enhance Supply Chain Integrity

ดิษฐเดช กล่าวว่า การหารือแนวทางการดำเนินงานและขอบเขตของโครงการนำร่อง Latex Traceability Pilot ซึ่งมุ่งยกระดับระบบตรวจสอบย้อนกลับของน้ำยางพาราตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Integrity) สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติตามมาตรฐานความยั่งยืนสากลที่ใช้ในอุตสาหกรรมยางพาราทั่วโลก

นอกจากนี้ กยท. และธนาคารโลก ยังได้หารือถึงโอกาสความร่วมมือระยะยาว เพื่อขยายผลด้านระบบตรวจสอบย้อนกลับ และพัฒนาแนวทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป

ธนาคารโลกมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมมาตรฐานด้านความยั่งยืนและแนวทางการพัฒนาภาคการเกษตรที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการนำร่อง Latex Traceability Pilot ในการยกระดับห่วงโซ่อุปทานยางพาราไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

สมาคมผู้ผลิตยางธรรมชาติ คาดว่า ปริมาณการใช้ยางพาราของโลกในปี 2568 อยู่ที่ 15.565 ล้าน ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 15.364 ล้านตัน เติบโตคิดเป็น 1.31% จากปี2567 สะท้อนถึงความต้องการยาง ธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก เช่น อุตสาหกรรมยางล้อ อุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ 

โดยมี จีน เป็นผู้บริโภคยางธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก โดยมีปริมาณการใช้ในปี 2567 อยู่ที่ 6.986 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ 6.864 ล้านตัน เติบโตคิดเป็น 1.78% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจาก การขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้ยางเป็นวัตถุดิบ

อินเดีย มีปริมาณการใช้ในปี 2567 อยู่ที่ 1.45 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ 1.41 ล้านตัน เติบโตคิดเป็น 2.98% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในอินเดีย

ไทย มีปริมาณการใช้ในปี 2567 อยู่ที่ 1.199 ล้านตัน ลดลงเล็กน้อยจากปี 2566 ที่ 1.24 ล้านตัน ลดลง คิดเป็น 2.84% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากอุปสงค์ที่ชะลอตัวในบางตลาดหลัก ประเทศอื่นที่น่าสนใจ

ด้านปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติของประเทศไทยปี 2568  ช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. ปี 2568 ปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติของไทยอยู่ที่ 2,108,715.92 ตัน ลดลง 251,102.18 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 1,857,613.74 ตัน

มูลค่าการส่งออกยางธรรมชาติของประเทศไทย ช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย.ปี 2568 มูลค่าการส่งออกยางธรรมชาติของไทยอยู่ที่ 155,037.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76,316.18 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 78,721.4 ล้านบาท