ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ออกคำแนะนำดูแลรักษาเด็กติดโควิด19

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ออกคำแนะนำดูแลรักษาเด็กติดโควิด19

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ออกคำแนะนำฉบับเบื้องต้น ดูแลรักษาเด็กอายุน้อยกว่า15 ปีกรณีติดโควิด19

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
ออกคำแนะนำฉบับเบื้องต้น การดูแลรักษา COVID-19 ในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า15 ปี
(COVID-19 Interim Guidance: Management of Children with COVID-19) ฉบับที่ 1/2565
22 กุมภาพันธ์ 2565 ระบุว่า
การระบาดของ SARS CoV-2 สายพันธุโอมิครอนที่แพรไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 จนถึงปัจจุบัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การติดเชื้อสะสมในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ตั้งแต่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 สูงถึง 77,635 ราย คิดเป็นร้อยละ 21 ของผู้ติดเชื้อในทุกกลุ่มอายุ (ข้อมูล จาก SATCOVID team กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 16
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565) เนื่องจากในการระบาดของเชื้อโอมิครอน พบผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรงและการเสียชีวิตน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆที่ผ่านมา และจากการติดตามผู้ป่วยเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ หรืออาการน้อย สามารถให้การดูแลที่บ้านได้ โดยให้การรักษาแบบประกับประคอง ส่วนน้อยมากที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส หรือต้องนอนโรงพยาบาล 

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จึงพิจารณาร่างแนวทางการรักษาโควิด-19 ในเด็กให้เหมาะกับการระบาดในขณะนี้ ซึ่งแม้จะมีผู้ติดเชื้อจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ส่วนใหญ่สามารถรักษาโดยพักอยู่ที่บ้านได้ ซึ่งจะเหมาะกับผู้ติดเชื้อที่เป็นเด็ก โดยคำแนะนำนี้เป็นฉบับเบื้องต้น ซึ่ง
จะมีการออกคำแนะนำฉบับสมบูรณ์ต่อไป
ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย (probable case) ผู้ที่มีผลตรวจ ATK ต่อเชื้อไวรัส SARS-COV-2 ให้ผลบวก และผู้
ติดเชื้อยืนยัน (confirmed case) ทั้งผู้ที่มีอาการและไม่แสดงอาการ ให้ใช้ยาในการรักษาจำเพาะดังนี้

1. ผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ไม่มีอาการ (Asymptomatic COVID-19)
ㆍ ไม่แนะนำยาต้านไวร้ส สามารถให้การดูแลแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้านได้ อาจ ไม่
จำเป็นต้องเข้าระบบบริการ Home isolation หรือรับการรักษาในโรงพยาบาล

2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง (Symptomatic COVID-19 without
pneumonia and no risk factors)
ㆍ แนะนำให้ดูแลรักษาตามอาการ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก และแยกกักตัวที่บ้านได้ โดย
ไม่จำเป็นต้องเข้าระบบบริการ Home isolation หรีอรับการรักษาในโรงพยาบาล

อาจพิจารณาให้ favipiravir เป็นเวลา 5 วัน ตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น กรณีที่ไข้สูง 39
องศาเซลเชียสต่อเนื่องกันมากกว่า 1 วัน อ่อนเพลีย ซึม อาเจียน ท้องเสีย รับประทาน
อาหารได้น้อย เป็นต้น

3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง หรือมีอาการปอดอักเสบ (pneumonia) เล็กน้อยไม่
เข้าเกณฑ์ข้อ 4
- ปัจจัยเสี่ยง/โรคร่วมสำคัญ ได้แก่ อายุน้อยกว่า 1 ปี และมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคโควิด-
19 อย่างรุนแรง

แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5 วัน อาจให้นานกว่านี้ได้ หากอาการยังมาก โดยแพทย์
พิจารณาตามความเหมาะสม

สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยจัดให้มีช่องทางให้ผู้ป่วย
สามารถติดต่อเข้ารับการประเมิน หรือรับการรักษาในโรงพยาบาลหากอาการเปลี่ยนแปลง
หรือทรุดลง

4. ผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการปอดอักเสบปานกลาง หรือ รุนแรง ได้แก่ หายใจเร็วกว่าอัตราการหายใจตามกำหนดอายุ (60 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ <2 เดือน, 50 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ 2-12 เดือน, 40 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ 1-5 ปี และ 30 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ >5 ปี)

-แนะนำให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
-แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5-10 วัน
-พิจารณาให้ remdesivir หากเป็นมาไม่เกิน 10 วัน และมีปอดอักเสบที่ต้องการการรักษา
ด้วยออกซิเจน หรือมีอาการรุนแรง
- แนะนำให้ corticosteroid

และ5. ผู้ป่วยยืนยันที่มีข้อบ่งชี้ในการนอนโรงพยาบาลอื่นๆ เช่น ท้องเสีย อาเจียน ทานอาหารไม่ได้
* แนะนำให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5-10 วัน
เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น หรือไม่มีข้อบ่งชี้ในการนอนโรงพยาบาล สามารถรักษาต่อแบบผู้ป่วย
นอก โดยการกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์
ในระหว่างที่รักษาแบบผู้ป่วยนอก ขอให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการกักตัวอยู่ที่บ้านตาม
ระยะเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกันการกระจายเชื้อ

หมายเหตุ:ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะแนะนำการใช้ ฟ้าทะลายโจร, Ivermectin, Molnupiravir, และ Paxlovid เพื่อการรักษา COVID-19 ในเด็ก

*กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ SARS CoV-2 ที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ เด็กที่มีโรคร่วม หรือความผิดปกติ ดังต่อไปนี้
1. โรคอ้วน (น้ำหนักเทียบกับความสูง (weight for height) มากกว่า +3 SD)
2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
4. โรคไตวายเรื้อรัง
5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
6. โรคเบาหวาน
7. กลุ่มโรคพันธรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า