สธ.คลอดเกณฑ์ ”โควิด-19”เป็น ”โรคประจำถิ่น"

สธ.คลอดเกณฑ์ ”โควิด-19”เป็น ”โรคประจำถิ่น"

คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบหลักการแนวทางพิจารณา ”โควิด-19” เป็น ”โรคประจำถิ่น กำหนดเกณฑ์ ป่วยใหม่ไม่เกิน 10,000รายต่อวัน อัตราป่วยตาย 1/1,000  ฉีดวัคซีน 2 เข็มครอบคลุม 80% ประสิทธิภาพระบบสาธารณสุขรับไหว ส่วนร้านเปิดดื่มเหล้ามีแพร่เชื้อ เจอ “Target Lockdown” ทันที

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565 โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลาโหม มหาดไทย แรงงาน ศึกษาธิการ การต่างประเทศ การท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ UHOSNET โรงพยาบาลเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข ผู้แทนสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระ เข้าร่วมการประชุม

          นายอนุทินกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ คงที่เฉลี่ยวันละ 7,000-9,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ความรุนแรงของโรคน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า ทำให้มีผู้ป่วยหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตลดลง ซึ่งมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ยังสามารถควบคุมป้องกันโรคได้ดี ในวันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจึงได้หารือใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1)เห็นชอบแนวทางการพิจารณาให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น (endemic disease) โดยมีหลักเกณฑ์และค่าเป้าหมาย เช่น ผู้ป่วยรายใหม่ไม่เกิน 10,000 ราย/วัน อัตราป่วยตาย น้อยกว่าร้อยละ 0.1 การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล น้อยกว่าร้อยละ 10 และประชาชนมีภูมิต้านทานเพียงพอ กลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงได้วัคซีนอย่างน้อย 2 โดส มากกว่าร้อยละ 80 เป็นต้น ซึ่งหากสถานการณ์เหมาะสมและเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด กระทรวงสาธารณสุขจะมีการประกาศแจ้งให้ทราบอีกครั้ง และ 2) เห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินงานคลินิกวัคซีนผู้ใหญ่ เพื่อให้บริการวัคซีนสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพื่อให้บริการวัคซีนโควิด และวัคซีนในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่มีความจำเป็น

 เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ว่า  คณะกรรมการ มีการพิจารณาและเห็นชอบในหลักการ 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.แนวทางการพิจารณาโรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)มีแนวความคิดว่าขณะนี้โรคโควิด-19 ระบาดมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว และลักษณะการระบาดมีทิศทางดีขึ้น อยู่ภายใต้การควบคุม  ไม่มีลักษณะรุนแรงและเป็นตามหลักวิชาการ
      

และประเทศไทยไม่ต้องการปล่อยระยะเวลาไปแล้วให้โรคกลายเป็นโรคประจำถิ่นด้วยตัวเอง จึงต้องบริหารจัดการให้กลายเป็นโรคประจำถิ่นต่อไป ซึ่งต้องมีการกำหนดเกณฑ์ โดยหลักการกว้างๆ ของโรคประจำถิ่นคือ ไม่ค่อยรุนแรงแต่ระบาดได้ มีอัตราเสียชีวิตที่ยอมรับได้ มีการติดเชื้อเป็นระยะๆ ได้  โรคไม่รุนแรงเกิน  คนต้องมีภูมิต้านทานพอสมควร ระบบดูแลรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพ

 

 หลักการกว้างๆ ของโรคประจำถิ่นดังกล่าว ต้องแปลงเป็นตัวเลขขึ้นมา โดย 3 หลัก ได้แก่ 1.อัตราป่วยเสียชีวิตไม่เกิน 1 ต่อ 1,000  คน  ต้องบริหารจัดการไม่ให้เกินอัตรา ถ้าเกินก็แสดงว่ายังรุนแรง 2.มีการสร้างเสริมให้คนมีภูมิต้านทานมากขึ้น ด้วยการฉีดวัคซีนซึ่งสำหรับโอมิครอน ถ้าได้รับวัคซีน 2 เข็ม 80% ก็ถือว่ามีภูมิต้านทานพอสมควรแล้ว  และ 3.ประสิทธิภาพการดูแลรักษาพยาบาล ซึ่งจะดูความสอดคล้องการระบาดที่จะต้องเป็นระบาดทั่วไป ที่เป็นประจำถิ่นด้วย แต่ปัจจุบันยังเป็นโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก และโรคติดต่ออันตราย  ซึ่งเมื่อมีกรอบหลักเกณฑ์แล้ว สธ.ก็จะไปจัดทำแนวทาง และแผนงานเพื่อบริหารจัดการให้เป็นไปตามเกณฑ์ ก่อนจะประกาศเป็นโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อทั่วไป  ที่จะเข้าสู่โรคประจำถิ่น
    

“เป็นการเห็นชอบกรอบแนวทางบริหารจัดการไปสู่โรคประจำถิ่น ก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นโรคประจำถิ่น  แต่จะมีการกำหนดแผนปฏิบัติการ มาตรการและเป้าหมายตามระยะเวลาว่าจะต้องดำเนินการอะไรอย่างไร เพื่อให้ไปสู่โรคประจำถิ่นตามเกณฑ์  เมื่อองค์ประกอบเข้าตามเกณฑ์ทุกอย่างจึงจะมีการประกาศ แต่จะให้ได้ภายในปี 2565” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว   

   นพ.เกียรติภูมิ กล่าวด้วยว่า โรคประจำถิ่นมีความหมายว่ามีการระบาดเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราว ส่วนว่าต้องพิจารณาการกลายพันธุ์ด้วยหรือไม่ ก็ต้องดูซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสายพันธุ์ย่อยอะไรแต่รู้ว่าเป็นโควิด-19 หากอัตราป่วยตายหรือวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันประมาณหนึ่ง ถ้ามีการกลายพันธุ์แล้วอยู่ในระดับที่ดูแลได้ ไม่ได้ระบาดก็จะเหมือนโรคไข้เลือดออก และไข้หวัดใหญ่ที่เป็นโรคประจำถิ่นตอนนี้ ที่ไม่ได้รายงานพบผู้ติดเชื้อทุกวัน  เว้นกรณีป่วยหนัก แต่ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามีการระบาด เพราะเมื่อมีคนป่วยก็ต้องไปรพ.แล้วเข้าไปดำเนินการหยุดการระบาด แต่ไม่ใช่เฝ้าระวังทุกวัน แต่เป็นการเฝ้าระวังการระบาดใหญ่ ส่วนว่าต้องรอองค์การอนามัยโลก(WHO)ประกาศก่อนหรือไม่ ที่ผ่านมาหลายมาตรการประเทศไทยก็ดำเนินการไปก่อน ซึ่งประเทศไทยก็จะประกาศเมื่อสามารถดำเนินการได้ตามเกณฑ์ดังกล่าวที่กำหนดขึ้น    
     

“การจะถอดหน้ากากได้เลยหรือไม่หรือมาตรการต่างๆ ถ้าเป็นโรคประจำถิ่นแล้วจะมีการกำหนดอีกครั้ง ระยะนี้ยังต้องฉีดวัคซีนต่อไปอีกระยะใหญ่ๆ ให้คนมีภูมิต้านทานต่อเนื่อง ระยะนี้ก็ขอความร่วมมือประชาชนที่ฉีดวัคซีนสูตรซินโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นแอสตร้าเซนเนก้า และคนที่รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม/ซิโนฟาร์ม 2 เข็มตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว ให้ไปรับเข็ม 4 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของคณะกรรมการวิชาการ”นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
     

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวด้วยว่า และคณะกรรมการฯ เห็นชอบเรื่องการจัดตั้งคลินิกวัคซีนผู้ใหญ่ใน รพ.ที่จะจัดตั้งถึงระดับโรงพยาบาลชุมชน หรือระดับตำบลในพื้นที่ห่างไกลที่ตั้งเป็นคลินิกประจำ ที่ประชาชนต้องการไปฉีดวัคซีนวันไหน เมื่อไหร่ก็ทำได้ เพราะมีวัคซีนหลายชนิดที่ผู้ใหญ่ก็ต้องฉีด แต่ในช่วงนี้ก็อาจจะให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ก่อน จากนี้ สธ.ก็จะดำเนินการตามมติต่อไป
    

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการเปิดระบบลงทะเบียนเข้าประเทศไทยแบบTest&Go อีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ.นี้ นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ก็ดำเนินการภายใต้กรอบมาตรการที่ ศบค.เห็นชอบ และจำต้องพิจารณากำหนดจำนวนคนที่เข้ามาต่อวันด้วย คงไม่ได้มีการอนุญาตให้เข้ามาวันละเป็นแสนราย ที่สำคัญ คนที่เข้ามาแล้วก็ยังอยู่ในระบบติดตาม มีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง ถ้าเข้ามาในลักษณะและมาตรการที่มีการกำหนด ระบบสาธารณสุขน่าจะสามารถรองรับได้  
     

ถามถึงมาตรการดูแลในส่วนของการเปิดร้านอาหารกึ่งผับเปิดให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ถึง 23.00 น. นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ของไทย ขณะนี้พบการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศกว่า 90% ขณะที่ผู้เดินทางเข้าประเทศเป็นโอมิครอน 100% โดยข้อมูลวิชาการก็ยืนยันว่าโอมิครอนมีความรุนแรงน้อยลง ส่วนสถานการณ์หลังผ่อนคลายให้จังหวัดในพื้นที่สีฟ้า และสีส้มนั่งดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ถึง 5 ทุ่ม วันนี้พบว่ามีรายงานมาเพียง 1 จังหวัด ถือว่าพบน้อยลง แต่ไปพบมากขึ้นในตลาด อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการเข้มงวดเรื่องของ COVID-free setting  หากพบร้านที่มีปัญหาทำให้เกิดการแพร่เชื้อจะใช้มาตรการ Target Lockdown ทันที  และขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันสอดส่องหากพบร้านที่ไม่ดี ก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่  ใส่หน้ากากอนามัย เข้ารับการฉีดวัคซีน และตรวจ ATKต่อเนื่อง
      “ขณะนี้ สธ.ยังประกาศเตือนภัยโควิด-19 ที่ระดับ 4 เหมือนเดิม ก็ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน แต่ขอให้คุมเข้ม และเน้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่สีฟ้าที่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว  ถามว่ากังวลเรื่องการระบาดในอินเดียที่อาจแพร่ต่อมาสู่ไทยหรือไม่  นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า พร้อมสู้ ขณะนี้ป่วยวันละ 7-8 พันราย จากอดีต 2-3 หมื่นราย แต่ก็จับตาเฝ้าระวังตลอด มีการประชุมต่อเนื่อง   

          ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับแผนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปี จำนวนทั้งสิ้น 5.8 ล้านคน ขณะนี้มีวัคซีนไฟเซอร์สูตรสำหรับเด็ก ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.ไทย ส่งมอบลอตแรกแล้วเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 จำนวน 3 แสนโดส และจะทยอยจัดส่งต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เพื่อเตรียมฉีดให้เด็กจำนวน 2 เข็ม โดยจะเริ่มในกลุ่มเด็กที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ที่รักษาในโรงพยาบาล (Hospital-based vaccination) เพื่อป้องกันเด็กป่วยและบุคลากรทางการแพทย์จากการแพร่
และรับเชื้อ โดยจะเริ่มในวันที่ 31 มกราคมนี้ ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และขยายไปยังเด็กกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งให้บริการที่โรงเรียน (School-based vaccination) ในระดับประถมศึกษา สังกัดหน่วยงานรัฐบาลและภาคเอกชน รวมถึงเด็กที่เรียนผ่านระบบ home school ด้วย  

           ส่วนผู้ที่ต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น จะฉีดให้ตามสูตรที่กำหนด เพื่อให้บริหารจัดการวัคซีนที่มีอยู่ได้ถูกต้อง ยืนยันว่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาเป็นวัคซีนที่ดี รวมทั้งได้เตรียมวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไว้ 60 ล้านโดส และไฟเซอร์ อีก 30 ล้านโดส สำหรับเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และ 4 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ จะเน้นการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และเข็มกระตุ้นมากขึ้น ส่วนเข็มที่ 4 จะฉีดให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงมาก เช่น บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่มีความจำเป็น จึงขอความร่วมมือช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นให้มากที่สุด

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์