หวั่นโควิด-19 ไฮบริด ลูกผสมเดลตา+โอมิครอน

หวั่นโควิด-19 ไฮบริด ลูกผสมเดลตา+โอมิครอน

ไทยเร่งสุ่มตรวจสายพันธุ์อย่างน้อย 1% ของผู้ติดโควิด-19 ในประเทศ ควานหาโอมิครอน หวั่นลูกผสมเดลตา-โอมิครอน แลกเปลี่ยนสายพันธุกรรม

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ศูนย์จีโนมฯ มีการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด-19 โดยสุ่มตรวจเชื้อจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ รวมทั้งมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ส่งสิ่งส่งตรวจมาให้ถอดรหัสพันธุกรรม ยังไม่พบสายพันธุ์โอมิครอน มีเพียงรายแรกที่กรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ส่งมาให้ศูนย์จีโนมฯ ถอดรหัสยืนยันผล ในรายอื่นๆ กรมวิทย์ฯ ดำเนินการเอง ซึ่งก็มีเครือข่ายรพ.ในสังกัดกระจายอยู่ในแต่ละพื้นที่

ขณะนี้ กรมวิทย์ฯ ได้ประสานโรงเรียนแพทย์ที่เป็นภาคี ร่วมกันสุ่มตรวจสายพันธุ์ให้ได้ประมาณ 1% จากผู้ติดเชื้อรายใหม่ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 3,000-4,000 รายต่อวัน ข้อมูลที่ได้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการประเมินว่าการตรวจเชื้อด้วย PCR ยังใช้ได้ดีหรือไม่ ยา ชุดตรวจต่างๆ ยังใช้ตรวจได้ผลดีหรือไม่ รวมถึงวัคซีนใช้ได้หรือไม่ อย่างเช่นที่แอฟริกาใต้ที่มีการสุ่มตรวจไม่ถึง 1% ยังพบสายพันธุ์โอมิครอนและแจ้งไปทั่วโลกทราบ ขณะนี้ทั่วโลกก็พยายามกระตุ้นให้แต่ละประเทศช่วยกันตรวจหาสายพันธุ์

หวั่นลูกผสมเดลตา-โอมิครอน
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันที่กังวลคือ ขณะนี้มีการระบาดของเชื้อเดลตาที่ครองพื้นที่ และมีโอมิครอนเข้ามา หากคน ๆ หนึ่งติดเชื้อ2 สายพันธุ์อะไรจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะหากมีการแลกเปลี่ยนสายพันธุกรรมจนเกิดลูกผสมหรือไฮบริด อาจจะก่อให้เกิดลักษณะเด่นพิเศษที่ไม่เหมือนโอมิครอน ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าหากมีการแลกเปลี่ยนสายพันธุกรรมของเชื้อ 2 ตัวในร่างกายคนๆ เดียว จะส่งผลต่อการแพร่กระจายรวมถึงจะก่อให้เกิดอาการรุนแรงมากขึ้นหรือน้อยลง จึงต้องสุ่มตรวจเพื่อติดตามเฝ้าระวัง

"ที่ผ่านมาเคยพบเพียงการติดเชื้อ 2 สายพันธุ์ทั้งเดลตาและอัลฟาในคนเดียวกันที่คสัสเตอร์แคมป์คนงานที่กรมวิทย์ฯ เคยรายงาน แต่ไฮบริด 2 สายพันธุ์ในคนเดียวกันที่มีการแลกเปลี่ยนสายพันธุกรรมจนเกิดลูกผสมขึ้นมายังไม่เคยเกิดขึ้น และจากข้อมูลที่ผ่านมาในต่างประเทศเคยมีการผสมแลกเปลี่ยนสายพันธุ์ในคนๆเดียวระหว่างเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ผสมกับไข้หวัดธรรมดา แต่ไม่พบอาการรุนแรง ดังนั้นการสุ่มตรวจสายพันธุ์ในจำนวนมากๆ เป็นสิ่งจำเป็น เมื่อพบความผิดปกติจะได้ควบคุม หากพบในคลัสเตอร์ใด กรมควบคุมโรคก็ต้องรีบเข้าไปบริหารตัดตอนไม่ให้เกิดการแพร่กระจายออกไป" ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าว

อาจร่นระยะการให้วัคซีน

หัวหน้าศูนย์จีโนมฯ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้เห็นชัดกราฟผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง จำนวนผู้เสียชีวิตก็ลดลงด้วย แต่ในแอฟริกาใต้มีลักษณะที่ตรงกันข้าม ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นระลอกทื่ 4 ซึ่งเกิดจากสายพันธุ์โอมิครอน แต่อัตราการเสียชีวิตลดลง อาจจะเป็นไปได้ว่าโอมิครอนเข้ามาแล้วติดกันง่าย ติดกันเองโดยไม่ต้องฉีดวัคซีน เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ก่อปัญหามากมาย เหมือนการติดไข้หวัดใหญ่ มีเพียงบางคนอาจมีอาการมากหรือเสียชีวิตจึงต้องฉีดวัคซีนทุกปี ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงมีบทบาทเช่นกัน จากเดิมวางแผนกำหนดการฉีดเข็ม 3 หลังเข็ม 2 ประมาณ 6 เดือน เข็ม 4 ก็วางแผนว่าอาจจะห่างจากเข็ม 3 ประมาณ 1ปี แต่เมือมีโอมิครอนเข้ามา ก็วางแผนกันว่าระยะเวลาเข็ม 3 กับเข็ม 2 อาจร่นเวลาเหลือ 3 เดือน เข็ม 4 ก็อาจจะลดลงมา 6 เดือนก็ได้ รวมถึงอาจจะต้องเปลี่ยนหัวเชื้อใหม่ที่ทันต่อการระบาดในปัจจุบัน ระยะห่างระหว่างเข็มควรเป็นเท่าไหร่ นักวิทยาศาสตร์กำลังพิจารณาว่าแค่ไหนถึงจะพอ โดยพิจารณาจากคนที่ติดเชื้อว่าภูมิคุ้มกันลดลงเร็วแค่ไหน เมื่อฉีดวัคซีนเข้าไป เหมือนไข้หวัดใหญ่ทั่วไปเวลาติดเชื้อภูมิคุ้มกันจะสูงมากใน 2-3 เดือนแรก จากนั้นก็จะลดลงเป็นปกติ เป็นเรื่องธรรมดา

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มว่าสายพันธุ์โอมิครอนจะทำให้โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่นหรือไม่ ตอนนี้เรากำลังติดตามการระบาดที่แอฟริกาใต้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ยังต้องรอดูอีกสักพักช่วง 1-2 เดือนนี้ แนวโน้มน่าจะดี อย่างไรก็ตามเหมือนการเล่นฟุตบอล ตอนนี้เราแข่งขันจบไปแล้วครึ่งแรกซึ่งมองดูแล้วเรานำ ยิงเข้าประตูไปแล้ว 1 ลูก ความหมายคือระบาดแต่อาการไม่รุนแรง ทุกคนก็คาดหวังว่าครึ่งหลังน่าจะชนะ แต่ลูกบอลขลุกขลิกอยู่หน้าประตูยังไม่รู้ผลอะไรก็เกิดขึ้นได้"

สถานการณ์ในไทยอยู่ในช่วงขาลง บ่งชี้ว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีน มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ การติดเชื้อซ้ำจะเป็นไปยาก จึงสบายใจในระดับหนึ่งหากไม่มีโอมิครอนระบาดเข้ามา ส่วนต่างจังหวัดที่ยังพบการระบาดเป็นคลัสเตอร์บางพื้นที่ท้ายที่สุดก็จะเหมือนกับกทม.และปริมณฑล อย่างไรก็ตามการสุ่มตรวจเชื้อโอมิครอน ในคนที่เดินทางเข้ามาในประเทศผ่านช่องทางที่ถูกต้องมีการตรวจเข้มรายบุคคลโอกาสหลุดคงยาก แต่ในกทม.คงต้องเพิ่มความเข้มงวดสุ่มตรวจมากขึ้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ประชากรอยู่กันหนาแน่นแออัดเป็นชุมชน จึงมีความเสี่ยงต่อการระบาดมากกว่าพื้นที่ต่างจังหวัดที่อยู่กันกระจายมากกว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปตามแหล่งท่องเที่ยวพื้นที่ปิดเช่นโรงแรม สถานบันเทิงที่มีการรวมกลุ่มกันจำนวนมาก ก็คงต้องสุ่มตรวจมากขึ้น รวมถึงการลักลอบเข้ามาตามชายแดนก็ต้องคุมเข้มเฝ้าระวังมากขึ้น