ปรับแนว! ผู้เดินทางเข้าไทย รับเปิดประเทศระยะ2

ปรับแนว! ผู้เดินทางเข้าไทย รับเปิดประเทศระยะ2

คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผนเปิดประเทศระยะ 2  ชงศบค.ปรับแนวปฏิบัติ เพิ่มช่องทางขาเข้าคลายล็อกท่าเรือ-ด่านบก  ถึงไทยตรวจหาเชื้อด้วยATKแทน หลังพบระยะ1 นักท่องเที่ยวอัตราติดเชื้อมาต่ำ  

เมื่อวันที่ 25 พ.ย.2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่า คณะกรรมการฯเห็นชอบใน 3 เรื่อง ได้แก่

1.การปรับแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้เดินทางในการเข้าราชอาณาจักร ตามแผนการเปิดประเทศ ระยะที่ 2 ระหว่างวันที่ 1-31 ธ.ค2564 ได้แก่ การปรับวันกักตัว ปรับวิธีการตรวจเมื่อมาถึงประเทศไทยเป็นแบบATK จากเดิมตรวจRT-PCR ซึ่งจะเสนอศบค.พิจารณาเห็นชอบต่อไป

2.การยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคโควิด-19 เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้บริการผ่านช่องทางe-Vaccine Passport สำหรับผู้เดินทางระหว่างประเทศ 1-31 ธ.ค.2564

3.เห็นชอบให้กรมการแพทย์จัดทำแผนปฏิบัติการจัดหายาแพกซ์โลวิด รวมทั้งความก้าวหน้าการจัดหายารักษาโรคโควิด-19

    ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การเปิดประเทศระยะที่ 2 จะมีการเสนอเข้าศบค.ในวันที่ 26 พ.ย.นี้ โดยหลัก คือจะมีการเปิดช่องทางการเข้าประเทศมากขึ้น เพราะดูข้อมูลแล้วว่าอัตราการติดเชื้อในคนที่เข้ามาในประเทศระยะแรกค่อนข้างต่ำ เช่น คนที่เข้ามาตามระบบ Test & Go มีการติดเชื้ออยู่ที่ 0.08% เป็นไปตามแผนที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้  ดังนั้น จะเสนอเปิดช่องทางการเข้าประเทศมากขึ้น เดิมอนุญาตให้เข้ามาเฉพาะทางอากาศเท่านั้น ก็จะเปิดเพิ่มทางเรือ และทางบก แต่ก็ไม่ใช่เปิดด่านบกทั้งหมดทั่วประเทศ จะเลือกเฉพาะด่านที่มีความปลอดภัย เพื่อเป็นการนำร่องก่อน และมีข้อจำกัดในการเขาน้อยลง แต่ต้องเข้มข้นเรื่องการฉีดวัคซีน และการตรวจหาเชื้อ

     ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์โควิด-19ในยุโรปเริ่มสูงขึ้น ไทยจำเป็นต้องปรับรายชื่อประเทศจาก 63 ประเทศหรือไม่   นพ.โอภาส กล่าวว่า  รายชื่อประเทศที่จะอนุญาตให้เข้ามานั้น ที่ประชุม ศบค.ก่อนนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้พิจารณา แต่แนวโน้มไม่น่าจะมีการประกาศลดประเทศเดิมที่อนุญาตไปก่อนหน้านี้ เพราะดูประเทศก็เป็นเพียงต้นทาง ไม่สำคัญเท่าคนที่เข้ามา คือ ต้องฉีดวัคซีนครบทุกคน ยกเว้นเด็กที่ฉีดไม่ได้ ก่อนเข้าต้องตรวจ RT-PCR ในระยะ 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง

         และเมื่อเข้ามาแล้วเดิมกำหนดว่าให้ตรวจ RT-PCR ซ้ำ ก็อาจจะปรับเป็นการตรวจ ATK แทน และมากำหนดว่าระหว่างนี้จะให้อยู่รอที่ไหน และใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องอะไร ซึ่งการเปลี่ยนวิธีตรวจต้องใช้เวลา เพราะตอนนี้ระบบ Test & Go มีคนเข้ามา 5 พันกว่าราย เชื่อว่าถ้าเราเปิดมากกว่านี้จะมีคนเข้ามามากกว่านี้ ดังนั้นต้องวางระบบให้ดีก่อน