ส่องผลการศึกษา "วัคซีนเข็มกระตุ้น" แอสตร้าฯ - ไฟเซอร์

ส่องผลการศึกษา "วัคซีนเข็มกระตุ้น" แอสตร้าฯ - ไฟเซอร์

ศูนย์วิจัยคลินิก SICRES "คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล" เผยผลการศึกษาภูมิคุ้มกันหลัง "ฉีดกระตุ้นเข็ม 3" หลังจากที่ได้ Sinovac 2 เข็ม หรือ AstraZeneca 2 เข็ม พบว่า เข็มกระตุ้น AstraZeneca หรือ Pfizer ให้ระดับภูมิคุ้มกันที่สูงมาก

วันนี้ (15 ต.ค. 64) ศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยผ่านเฟซบุ๊ก Siriraj Institute of Clinical Research สรุปผลการวิจัยวัคซีนโควิด-19 ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ของผู้ที่ได้ Sinovac 2 เข็ม หรือ AstraZeneca 2 เข็ม

 

  • ที่มาของโครงการ 

 

ทั้งนี้ ที่มาของโครงการ เนื่องจากการเกิดเชื้อกลายพันธุ์ของไวรัสก่อโรคโควิด-19

ทำให้เกิดความกังวลว่าประสิทธิภาพของการฉีดวัคชีน "ชิโนแวค" หรือ "แอสตร้าเซเนก้า" สองเข็มที่มีการใช้อย่างกว้างขวางในประเทศไทย อาจกระตุ้นระดับแอนติบอดีได้ไม่เพียงพอ การฉีดวัคซึนกระตุ้นเข็ม 3 มีความจำเป็น แต่ยังไม่ทราบแน่ว่าวัคซีนแต่ละชนิดที่อาจใช้กระตุ้นนั้น ให้ผลภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันอย่างไร

 

การศึกษานี้จึงได้วัดระดับภูมิต้านทานต่อโปรตีนหนาม (anti-recrptor binding domain : anti-RBD IgG) โดยวิธี chemiluminescent microparticle immunoassay และภูมิต้านทานในการกำจัดไวรัสสายพันธุ์เดลตา (50% plaque reduction neutralization test : PRNT50) รวมทั้งอาการข้างเคียงในอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 หลังจากได้รับวัคซีนครบสองเข็มมาแล้ว 2-3 เดือน

 

ส่องผลการศึกษา \"วัคซีนเข็มกระตุ้น\" แอสตร้าฯ - ไฟเซอร์

  • ผลการศึกษา 

 

ผลการศึกษาเปรียบเทียบวัคซีนที่ใช้ฉีดกระตุ้น(เข็มที่ 3)  ซิโนฟาร์ม แอสตร้าเซนเนก้า ไฟเซอร์ ครึ่งโดส ไฟเซอร์ เต็มโดส พบว่า 

 

- หลังได้รับวัคซีนสองเข็มประมาณ 8-12 สัปดาห์ ระดับภูมิคุ้มกันชนิด anti-RBD IgG ก่อนฉีดกระตุ้น มีค่าต่ำโดยเฉลี่ย 33-38 BAU/ml ในกลุ่มที่เคยฉีดซิโนแวค และ 90-116 BAU/ml ในกลุ่มที่เคยฉีด แอสตร้าเซนเนก้า

 

- ในผู้ที่ได้รับซิโนแวคแล้วสองเข็ม แล้วได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยไฟเซอร์ขนาดเต็มโดส มีระดับ anti-RBD IgG ขึ้นสูงสุดที่สุด (5,152 BAU/ml) รองลงมาเป็น วัคซีนไฟเซอร์ขนาดครึ่งโดส (3,981 BAU/ml) ซึ่งสูงกว่าการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนวัคซีนแอสตร้าฯเข็มที่สาม (1,358 BAU/ml) และวัคซีนซิโนฟาร์ม กระตุ้นได้น้อยที่สุด (155 BAU/ml)

 

- ในผู้ที่ได้รับแอสตร้าฯ แล้วสองเข็ม แล้วได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยไฟเซอร์ขนาดเต็มโดสมีระดับ anti-RBD IgG ขึ้นสูงสุดที่สุด (2,377 BAU/ml) รองลงมาเป็นวัคซีนไฟเซอร์ขนาดครึ่งโดส (1,962 BAU/ml) ซึ่งสูงกว่าการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนวัคซีนแอสตร้าฯเข็มที่สาม กระตุ้นสูงขึ้นน้อย (246 BAU/ml) และวัคซีนซิโนฟาร์ม กระตุ้นได้น้อยที่สุด (129 BAU/ml)

 

ส่องผลการศึกษา \"วัคซีนเข็มกระตุ้น\" แอสตร้าฯ - ไฟเซอร์

- ระดับภูมิยับยั้งเชื้อสายพันธุ์เดลตา วัดโดย PRNT50 ในผู้ที่ได้รรับซิโนแวคมาแล้วสองเข็มพบว่า กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ขนาดครึ่งโดส ระดับไตเตอร์สูงที่สุด (499) รองลงมาเป็นวัคซีนไฟเซอร์เต็มโดส(411) วัคซีนแอสตร้าฯ (271) และวัคซีนซิโนฟาร์ม(61)

 

- ในผู้ที่ได้รับแอสตร้าฯแล้วสองเข็ม วัคซีนไฟเซอร์เต็มโดสได้สูงที่สุด (520) รองลงมาเป็นวัคซีนไฟเซอร์ครึ่งโดส (358) โดยวัคซีนไฟเซอร์กระตุ้นได้สูงกว่าแอสตร้าฯ (70) และซิโนฟาร์ม (49)

 

- อาการไม่พึงประสงค์ที่พบจากการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 มีเล็กน้อยถึงปานกลางในทุกวัคซีน

 

  • สรุปผล แอสตร้าฯ ไฟเซอร์ กระตุ้นภูมิสูง 

 

สรุปได้ว่า Sinovac เป็น priming vaccine หรือวัคซีนเริ่มต้นที่ดี ซึ่งเมื่อฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย AstraZeneca หรือ Pfizer ก็ให้ระดับภูมิคุ้มกันที่สูงมาก

 

สำหรับวัคซีน Pfizer ใช้เพียงครึ่งโดสก็ได้ภูมิคุ้มกันในระดับที่ใกล้เคียงกับการใช้วัคซีนเต็มโดส แนะนำให้ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย AstraZeneca หรือ Pfizer เท่านั้น

 

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ฉีด AstraZeneca มา 2 เข็ม ควรฉีดเข็มที่ 3 กระตุ้นด้วยวัคซีน Pfizer เท่านั้น โดยอาจใช้เพียงครึ่งโดสก็ให้ผลภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกับการใช้วัคซีนเต็มโดส