สรุปเงื่อนไข "เปิดประเทศ" เช็คข้อปฏิบัติอะไรทำได้-ทำไม่ได้ หลังจากนี้

สรุปเงื่อนไข "เปิดประเทศ" เช็คข้อปฏิบัติอะไรทำได้-ทำไม่ได้ หลังจากนี้

"ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อค่ำของวันที่ 11 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา โดยมีใจความสำคัญในประเด็นการ "เปิดประเทศ" และข้อปฏิบัติตัวที่ต้องรู้!

พร้อมหรือยังสำหรับการเปิดประเทศ 1 พ.ย. ที่จะถึงนี้ หลังจากที่มีกระแสข่าวเบื้องต้นจาก ครม. ออกมาว่าประเทศไทยจะพิจารณา "เปิดประเทศ" รับนักท่องเที่ยวต่างชาติภายในเดือน พ.ย. 64 หลังจากที่ต้องปิดประเทศไปนานถึง 1 ปีครึ่งเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 

ค่ำคืนของวันที่ 11 ต.ค. เวลา 20.30 น. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกแถลงการณ์สำคัญผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยมีใจความสำคัญเรื่องของการเปิดประเทศ และข้อปฏิบัติหลังจากนั้น

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สรุปมาทราบกันดังนี้

 

  • เลื่อนเปิดประเทศไป 1 พ.ย. 64

ศบค.และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณาและมีมติให้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 64 เป็นต้นไป ไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และมาจากประเทศที่กำหนดว่าเป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ (จากเดิมเคยมีการเสนอให้เปิดประเทศวันที่ 1 ต.ค. 64 แต่เลื่อนไปเป็น 1 พ.ย. 64 ตามมติดังกล่าว)

 

เมื่อชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย ต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทำการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้งเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย

โดยเบื้องต้นกำหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำ เข้าประเทศไทยได้โดย "ไม่ต้องกักตัว" อย่างน้อย 10 ประเทศ อาทิ อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน สหรัฐ ฯลฯ และตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนประเทศความเสี่ยงต่ำ ภายในวันที่ 1 ธ.ค. 64

 

  • 1 ธ.ค. คลายล็อคมาตรการเพิ่ม ดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ ร้านเหล้า-สถานบันเทิง เตรียมเปิดให้บริการ

ภายในวันที่ 1 ธ.ค. 64 รัฐจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิงเปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการสาธารณสุข เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลฉลองปีใหม่

 

สรุปเงื่อนไข "เปิดประเทศ" เช็คข้อปฏิบัติอะไรทำได้-ทำไม่ได้ หลังจากนี้

นอกจากนี้ นายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า การตัดสินใจแบบนี้มีความเสี่ยง เมื่อเริ่มผ่อนคลายมาตรการ ย่อมจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ทางรัฐบาลจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินว่าจะรับมือกับสถานการณ์อย่างไร

ส่วนประเด็นเรื่องวัคซีนโควิดนั้น ไทยได้เข้ารับการส่งมอบวัคซีนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็น 3 เท่า โดยวันนี้ (11 ต.ค.64) ได้รับส่งมอบวัคซีนมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือนจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนมากกว่า 170 ล้านโดส ซึ่งเป็นจำนวนที่เกินเป้าที่ตั้งไว้

รวมถึงการต่อสู้กับสงครามโควิด-19 จากวันแรกจนถึงวันนี้ ถือเป็นความสำเร็จของคนไทยทุกภาคส่วน รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมมือกันอย่างดีจนทำให้ฝ่าวิกฤติโควิดมาได้จนถึงจุดนี้