สสว. ประกาศรางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ ผู้ประกอบการไทยสู้โควิด

สสว. ประกาศรางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ ผู้ประกอบการไทยสู้โควิด

สสว.จัดงาน ประกาศรางวัลสุดยอด SME แห่งชาติครั้งที่ 13 มีผู้สมัครร่วมงานกว่า 1,031 ราย สุดท้ายผ่านเกณฑ์สุดยอดเอสเอ็มแห่งชาติ 53 ราย ลั่น พร้อมหนุนเข้าสู่ตลาด mai และ SET ในอนาคต

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลสุดยอด SME แห่งชาติครั้งที่ 13 จัดโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า การส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME เป็นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลมาโดยตลอด เนื่องจากผู้ประกอบการ SME เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับร้อยละ 34.3 ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 มีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,421,127.9 ล้านบาท และส่งเสริมการจ้างงาน 12,714,976 คน

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในปี 2564  รัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล โดยการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือของภาครัฐผ่านโครงการต่าง ๆ ที่พร้อมให้การสนับสนุนตั้งแต่ระดับฐานรากและในทุกช่วงวงจรธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น   

นายมงคล ลีลาธรรม ประธานกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในฐานะประธานพิธีการมอบรางวัล กล่าวว่า ในวันนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มาพบกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เป็นต้นแบบที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมที่จะเป็นแบบอย่าง และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อื่น ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเวทีการประกวดรางวัลนี้เปิดกว้างให้ผู้ประกอบการทุกรายได้เรียนรู้ตนเอง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างเครือข่ายทางการค้า ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อไป

 

  • สสว.ประกาศรางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ

นายวีระพงศ์ มาลัย ผอ.สสว. กล่าวว่า โครงการ SME National Awards ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 วัตถุประสงค์หลัก คือ การสรรหาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่ดี มีความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีและเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายอื่น ๆ รวมถึงการต่อยอดและขยายโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลสามารถสร้างรายได้และเพิ่มยอดขายของธุรกิจเอสเอ็มอีได้

โดยการประกวดได้ใช้เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Awards-TQA) ทั้ง 7 หมวด มาพิจารณา ได้แก่ 1. บทบาทของผู้บริหารในการนำองค์กร 2. การวางแผนการดำเนินธุรกิจ 3. การมุ่งเน้นลูกค้าและตลาด 4. การวัด  วิเคราะห์ และจัดการความรู้ 5. การบริหารทรัพยากรบุคคล 6. การจัดการกระบวนการ และ 7. ผลลัพธ์ทางธุรกิจ มาใช้เพื่อมอบรางวัลแก่กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีประสิทธิภาพและความสามารถการบริหารจัดการอย่างมีมาตรฐาน

ผอ.สสว.กล่าวต่อว่า สสว. คาดหวังว่า การประกวดดังกล่าว จะเป็นเวทีในการคัดเลือกผู้ประกอบการSMEในภาคธุรกิจต่างๆ ที่มีศักยภาพ หรือการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เข้าร่วมการประกวด เพื่อส่งเสริมให้เกิดมาตรฐาน ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานการของผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นแรงจูงใจในการปรับปรุงคุณภาพธุรกิจให้ได้มาตรฐานและยอมรับได้ในระดับสากล

 

  • บทบาท SME มีผลต่อธุรกิจของไทย

“การจัดการประกวดทั้ง 12 ครั้งที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ประกอบการมากกว่า 12,000 กิจการ สนใจเข้าร่วมสมัคร และในการจัดการประกวดรางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ ครั้งที่ 13 นี้ มีผู้สมัครจากผู้สมัครทั้งสิ้น 1,031 ราย โดยมีผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป ผ่านการคัดเลือกให้ได้รับรางวัล จำนวน 53 ราย ได้แก่ รางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ จำนวน 12 ราย รางวัล SME ดีเด่น จำนวน 26 ราย และรางวัลมาตรฐาน SME จำนวน 15 ราย นายวีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลในปีนี้ สามารถสร้างมูลค่ายอดขายรวมได้ถึง 4,360 ล้านบาท  โดยมียอดขายที่เพิ่มขึ้น 621 ล้านบาท ยอดขายรวมเฉลี่ยต่อบริษัท 96 ล้านบาท และยอดขายที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16.60 % นอกจากนี้ มีจำนวนแรงงานทั้งหมด 3,423 คน จำนวนแรงงานเฉลี่ยต่อบริษัท 76 คน และมีจำนวนแรงงานที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด 356 คน จำนวนแรงงานที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อบริษัท 8 คน และขณะนี้ มีบริษัทที่เคยเข้าร่วมประกวดรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติจำนวน 5 บริษัท ที่เข้าตลาด SET ซึ่งเป็นการแสดงถึงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม ไปสู่ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสะท้อนบทบาทของเอสเอ็มอีไทยได้อย่างชัดเจน