โควิด - สังคมผู้สูงอายุ แรงผลัก 'บริการทางการแพทย์ที่บ้าน' เติบโต

โควิด - สังคมผู้สูงอายุ แรงผลัก 'บริการทางการแพทย์ที่บ้าน' เติบโต

หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น 'โควิด-19' ที่ระบาดในขณะนี้ รวมถึง การเข้าสู่ 'สังคมผู้สูงอายุ' ล้วนผลักดันให้ความต้องการ 'บริการทางการแพทย์ที่บ้าน' เติบโต 'ศูนย์วิจัยกสิกรไทย' คาดว่า บริการดังกล่าวจะเติบโตเฉลี่ย 7.3% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า

'ศูนย์วิจัยกสิกรไทย' ประเมินว่าในปี 2564 มูลค่าการใช้จ่ายสำหรับ บริการทางการแพทย์ที่บ้าน ของไทย จะอยู่ที่ 2,200 – 2,300 ล้านบาท เติบโตได้เล็กน้อยที่ 2.4% (YoY) จากความต้องการรับบริการทางการแพทย์ที่บ้านเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 เนื่องจากไม่สามารถไปรับบริการที่สถานพยาบาลได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดด้านการจัดสรรบุคลากรและมาตรการป้องกัน โควิด-19 ทำให้ภาพรวมตลาดยังขยายตัวได้ไม่มากนัก

ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ตลาดบริการทางการแพทย์ที่บ้านอาจเติบโตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เฉลี่ยที่ 7.3% (CAGR) เนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีทางเลือกบริการสุขภาพในรูปแบบปกติที่หลากหลาย และตลาดยังจำกัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและมีความพร้อมด้านสถานที่ในการรับบริการ

รวมทั้งธุรกิจยังเผชิญข้อจำกัดด้านจำนวนบุคลากรและการสร้างมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งหากมีแผนเตรียมความพร้อมเพื่อตอบโจทย์บริการสุขภาพในระยะยาว ก็คาดว่าตลาดบริการทางการแพทย์ที่บ้านก็น่าจะขยายตัวได้มากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการบริการสุขภาพที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

  • ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แนวโน้มขยายตัว

ถึงแม้ส่วนแบ่งมูลค่าตลาดบริการทางการแพทย์ที่บ้านทั่วโลกส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปที่มีการพัฒนาระบบสาธารณสุขและบริการทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ดี แนวโน้มการเติบโตของบริการทางการแพทย์ที่บ้านในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการขยายตัวดีกว่าในช่วงปี 2565 – 2569 

ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเข้า สังคมผู้สูงอายุ ของหลายประเทศในเอเชีย และความต้องการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ทั่วถึงมากขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูงขึ้นและการพัฒนาระบบสาธารณสุขของแต่ละประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ มีการขยายบริการทางการแพทย์ที่บ้านที่น่าสนใจ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายหลักที่กลุ่มผู้สูงอายุและวัยทำงานที่มีกำลังซื้อ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • บริการในไทย ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

ในขณะที่บริการทางการแพทย์ที่บ้านของไทย ส่วนใหญ่ยังเป็นบริการสำหรับผู้ป่วยเป็นหลัก และยังมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งค่อนข้างสูง ทำให้อาจยังไม่ค่อยได้รับความนิยมในวงกว้าง อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในไทยก็เริ่มมีการให้บริการทางการแพทย์ที่บ้านเพิ่มมากขึ้นตามความต้องการใช้บริการของผู้บริโภค

ความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่บ้านในไทย ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยอาการหนักหรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งมีความจำเป็นในการใช้บริการและยังมีผู้ให้บริการไม่มากนัก อย่างไรก็ดี บริการทางการแพทย์ที่บ้านได้ขยายขอบเขตบริการจากการให้บริการผู้ป่วยเป็นหลักไปสู่การให้บริการการแพทย์เชิงป้องกัน ดูแลสุขภาพ และบริการสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือที่มีบริการหลากหลายขึ้น

รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ก็ทำให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งเลือกใช้บริการทางการแพทย์ที่บ้านโดยมีมาตรการด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเดินทางไปโรงพยาบาล หรือมีความจำเป็นทางด้านสุขภาพ   

163051613296

  • 3 ประเภท "บริการทางการแพทย์ที่บ้าน"

โดยประเภทบริการทางการแพทย์ที่บ้านก็มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง จากบริการเฉพาะผู้ป่วยไปสู่บริการเชิงป้องกัน ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

1) บริการพยาบาลเฉพาะทาง เช่น ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด วางแผนโภชนาการ ติดตามการให้ยาตามแพทย์สั่ง เป็นต้น

2) บริการหัตถการและบำบัดรักษา เช่น บริการฉีดวัคซีน เจาะเลือด กายภาพบำบัด

3) บริการผู้ดูแลช่วยเหลือที่ได้รับการฝึกอบรมและรับรอง เช่น ผู้ดูแลช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวัน บริการรถรับ-ส่งไปโรงพยาบาล 

     

  • หัตถการ บำบัดรักษา กลุ่มบริการน่าสนใจ 

ทั้งนี้ บริการทางการแพทย์ที่น่าสนใจและน่าจะขยายตลาดได้จะเป็นกลุ่มบริการหัตถการและบำบัดรักษา โดยเฉพาะบริการหัตถการเพื่อป้องกันโรคอย่างการฉีดวัคซีน กายภาพบำบัด คลายกล้ามเนื้อรักษาอาการเฉพาะ รวมถึงกลุ่มบริการผู้ดูแลช่วยเหลือ ซึ่งจะตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับบริการช่วยเหลืออื่นๆ อย่างบริการรถรับ-ส่งผู้ป่วย ผู้สูงอายุ

ประเมินจากสัดส่วนรายได้ค่าใช้บริการทางการแพทย์ที่บ้านของโรงพยาบาลและผู้ให้บริการสุขภาพที่ไม่ใช่โรงพยาบาล เช่น คลินิก สถานกายภาพบำบัด ผู้ให้บริการ Day Care / Caregiver แต่ไม่รวมถึงการให้บริการผ่านระบบออนไลน์และผู้ป่วยโควิด-19 แบบ Home Isolation โดยผู้ใช้บริการใช้บริการเฉลี่ย 2 ครั้งต่อเดือน ในอัตราค่าบริการเฉลี่ย 500- 2,000 บาทต่อครั้ง รวมจำนวนผู้ใช้บริการประมาณ 50,000 – 200,000 คนต่อปี

  • เตรียมพร้อมรองรับ Medical Tourism

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากมีแผนในการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร และมีการส่งเสริมธุรกิจใหม่ๆ อย่าง Health Tech Startups ก็ยังมีโอกาสในการขยายตลาดรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ (Medical Tourism) ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและรับบริการสุขภาพในไทย จำนวนกว่า 2.2 ล้านคนต่อปี (เฉลี่ยในช่วงปี 2560-2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19)

จากตลาดสำคัญอย่าง จีน อาเซียน และจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ต้องการบริการเฉพาะบุคคล มีความเป็นส่วนตัว โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก รวมถึงบริการสุขภาพทางเลือกแบบครบวงจร ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจได้เพิ่มขึ้น เมื่อสถานการณ์การท่องเที่ยวสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในอนาคต