คลัสเตอร์คลองเตย ป่วยแล้วกว่า 300 ราย อัตราติดเชื้อ 'โควิด-19' สูงถึง 10%

"รศ.นพ.ฉันชาย" ระบุ ชุมชนคลองเตย มีประชาการกว่า 1 แสนราย ทำงานกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ล่าสุดติดเชื้อแล้วมากกว่า 300 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในปลายเดือน เม.ย. พบว่าอัตราการเป็นบวกสูงถึง 5-10%
เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 64 รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดโควิด-19 คลัสเตอร์คลองเตย ผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ว่า จริงๆ แล้วการระบาดของโคิด-19 ระบาดอยู่ในทุกเขตทั่วกรุงเทพฯ แต่ว่าในคลองเตยที่เป็นกังวลคือ ในช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมามีเคสบวกรวมกันมากกว่า 300 ราย และได้มีการทำการค้นหาเชิงรุกในปลายเดือน เม.ย. พบว่าอัตราการเป็นบวกในชุมชนเพิ่มจาก 4% เป็น 5-10% ทำให้เกิดความกังวลใจว่าจะมีเคสอยู่ในชุมชนมากน้อยเพียงใด ประกอบกับชุมชนเป็นชุมชนที่มีคนอยู่หนาแน่น ซึ่งมีข้อจำกัดในการ Work Form Home
"ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งโรงพยาบาลจุฬาฯ อยู่ในเขตกรุงเทพใต้ ดูแลพื้นที่รอบคลองเตย ซึ่งได้รับเคสจากชุมชนคลองเตย และบ่อนไก่ในปริมาณที่เยอะขึ้น เช่นเสาร์อาทิตย์ที่ผ่ามา ก็มีจำนวนเป็น 10 ราย ต้องบอกว่าไม่ได้เป็นภาวะวิกฤต เพียงแต่ว่าเรามองว่าต้องลงไปดูให้เห็นปัญหา เพื่อที่จะหามาตรการในการช่วยหาเคส นำมารักษาให้เหมาะสม ควบคุมไม่ให้แพร่กระจาย" รศ.นพ.ฉันชาย กล่าว
รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวด้วยว่า ชุมชนคลองเตยเป็นชุมชนที่มีพื้นที่กว้างกว่า 200 ไร่ ประชากรที่ลงทะเบียนมีประมาณ 1 แสนคน มีการแบ่งเป็นชุมชนย่อยๆ หลายชุมชน แต่ละชุมชนมีความเข้มแข็งและจัดการดี ซึ่งประชาชนของที่นี่เป็นกลุ่มที่ทำงานกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ในโรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มีบุคลากรที่อาศัยอยู่ในคลองเตยจำนวนหนึ่ง
"ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ เราไม่ได้บอกว่าชุมชนนี้เป็นปัญหา หรือต้นตอการแพร่ระบาด ไม่ใช่อย่างนั้น อย่างที่ในทุกเขตของ กทม.อัตราการติดเชื้อกระจายกันไป เพียงแต่ว่าเมื่อมีสัญญาณบางอย่าง มีความเสี่ยง คิดว่าถ้าเข้าไปดำเนินการระยะแรกเลย มันน่าจะดี และก็เกิดการป้องกันในชุมชนได้ ซึ่งในบางชุมชนอาจจะต้องใช้รูปแบบเฉพาะที่จะช่วยให้เข้มแข็งขึ้น ช่วยกันในหลายๆ ด้าน" รศ.นพ.ฉันชาย กล่าว
จากการหารือกับ ศปก.ศบค.ถึงวิธีการรับมือกับปัญหาดังกล่าว รศ.นพ.ฉันชาย ระบุว่า ศบค.มองภาพรวมในทุกเขต แต่ว่าพอมีประเด็นเฉพาะบางอย่าง อย่างที่ทราบก็จะมีการเตรียมความพร้อมโรงพยาบาลสนามมากขึ้น และมีการพยายามทำงานเชิงรุกให้เป็นระบบ ถ้าเจอเคสก็ กักกันเคสออกมารักษา ผู้มีความเสี่ยงก็มีการหาพื้นที่ให้อยู่เพื่อไม่ให้มีการกระจายต่อไป
"อันนี้เป็นโจทย์ที่ท้าทาย ว่าจะดำเนินการอย่างไรให้ครอบคุม และป้องกันไม่ให้มีการแพร่ขยายออกไป คิดว่าทาง ศบค.คงมีมาตรการออกมา คิดว่าไม่ต่างจากชุมชนอื่น ซึ่งคำว่าล็อกดาวน์คงไม่เกิดขึ้นด้วยสภาพพื้นที่ เราคงจะเห็นปัญหาว่าเป็นอย่างไรในช่วงสัปดาห์ที่จะถึง มีเคสเยอะมากน้อยเพียงใด ซึ่งเคสจากคลองเตยเข้ารับการรักาาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ขึ้นกับล้น แต่เราเห็นลักษณะการเปลี่ยนแปลง เห็นคนที่รับบริการมาก เราก็พยายามเข้าไปช่วยในระยะแรก ซึ่งตอนนี้ก็ต้องมีการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจาย อาจจะมีมีการแออัดนิดหน่อย แต่สถานการณ์โดยทั่วไปปกติ" รศ.นพ.ฉันชาย กล่าว
สำหรับการตรวจเชิกรุกในชุมชนคลองเตย รศ.นพ.ฉันชาย ระบุว่า ตอนนี้ดูจากตัวเลขก็หลายพันคน เนื่องจากมีชุมชนเยอะ ในช่วง 27-29 เม.ย.ที่ผ่านมา มีการตรวจเชิกรุกวันละ 1 พันราย โดยถ้าเทียบกับปริมาณประชากรก็คงต้องการการตรวจเชิกรุกอย่างเป็นระบบเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงได้อย่างดี
ทั้งนี้ คลัสเตอร์คลองเตยเปรียบเหนือระเบิดเวลาของกรุงเทพฯ หรือไม่ รศ.นพ.ฉันชาย ระบุว่า คงต้องดูว่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะเมื่อมีการตรวจเชิงรุกจะเห็นตัวเลขของปัญหามากขึ้น มีการปรับแผนการเพื่อแก้ปัญหามากขึ้น คิดว่า ศบค. ได้ดำเนินการติดตามปัญหาอยู่แล้ว จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่คลองเตย ทุกชุมชนในกทม.มีความเสี่ยง เพราะแต่ละชุมชนก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง
ในส่วนของการตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ท่าเรือคลองเตยนั้น รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวว่า โรงพยาบาลจุฬาฯ ดูแลคนไข้ในระดับ เหลือง แดง เข้าใจว่าคนไข้ที่เข้ารับการักษามีภาวะปอดอักเสบ โรงพยาบาลสนามก็เป็นอีกสถานที่ เราช่วยกันดูแล hospital กับโรงพยาบาลสนาม คิดว่าขณะนี้ก็จะมีสภากาชาดไทยเข้าไปช่วยกันบริหารโรงพยาบาลสนาม
"ผมคิดว่าที่ต้องเตรียมมากกว่าคือการรองรับคนไข้อาการทรุดลงที่มาจากโรงพยาบาลสนาม ตัวนี้สำคัญ เพราะโรงพยาบาลสนามเราอาจจะขยายได้ไม่ยาก แต่ว่าเตียงที่จะใช้ดูแลคนที่มีอาการมากขึ้น ที่ต้องได้รับการดูแลมากขึ้น เช่น ออกซิเจน ไอซียู ตรงนี้เป็นสิ่งที่เป็นหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ต้องเตรียมรองรับตรงนี้" รศ.นพ.ฉันชาย กล่าว







