ปัตตานี...ยินดีต้อนรับ

อย่าเพิ่งเบือนหน้าหนี ถ้าคุณยังไม่เคยไปปัตตานีสักครั้ง เมืองนี้มีดีครบเครื่อง มีเรื่องมากมายให้ต้องปักหมุด
พอบอกใครๆ ว่าจะไปเที่ยวปัตตานี อาการตอบรับถ้าไม่ใช่สีหน้าสงสัยกึ่งตกใจ ก็มักจะเป็นคำถามทำนองว่า...“ไปทำไม” “มีอะไรให้เที่ยว”
ถ้าลบภาพขมุกขมัวของความรุนแรงออกไปบ้าง รับรองว่าชื่อของแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในลิสต์ทั้ง ‘อินซีน’ และ ‘อันซีน’ มีมากมายกระจายอยู่ในแทบทุกพื้นที่ของจังหวัดปลายด้ามขวานแห่งนี้
แต่ตามคำชวนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน จังหวัดนราธิวาส ที่ดูแลพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี คราวนี้เจ้าบ้านแนะจุดเช็คอินที่เป็น ‘The must’ ต้องห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงไว้หลายแห่ง เรียกว่าครบรสครบเครื่อง เอาใจทั้งสายฮิป สายกรีน สายชิลล์ สายโบ(ราณ) และสายโร(แมนติก) เริ่มกันตั้งแต่วัด วัง บ้าน ย่าน ถนน ไปจนออกทะเล ซึ่งทุกเส้นทางมีความจริงเพียงหนึ่งเดียวคือ ความงามของวิถีอันหลากหลายยังคงสืบสายจากอดีตสู่ปัจจุบัน
ขอพร All in One ‘ศาลเล่งจูเกียง’
งานไม่ปัง รักไม่สมหวัง สามวันดีสี่วันไข้ ทายาทไม่มี... หากคุณอยากต่อเติมความหวังในชีวิต ศาลเจ้าเล่งจูเกียง กลางย่านเก่าเมืองปัตตานี คือที่รวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน ไม่ว่าจะเป็น เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เจ้าแม่ทับทิม เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้ากวนอู ฯลฯ
ความเดิมมีอยู่ว่าบนถนนอาเนาะรู ในเขตอำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแห่งนี้ เคยเป็นย่านเก่าที่เรียกว่า ตลาดจีนเมืองปัตตานี มีชุมชนชาวจีนอาศัยมานานนับร้อยปี และมีศาลเจ้าเก่าแก่ เดิมชื่อ ‘ศาลเจ้าซูก๋ง’ หรือ ‘ศาลโจ๊วซู’ มีองค์พระหมอ หรือโจ๊วซูกง เป็นเทพประธานประจำศาลเจ้า แต่ต่อมาในปี พ.ศ.2407 หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง (ตันจงซิ่น) ได้ทำการบูรณะและจัดงานสมโภชเป็นประเพณีขึ้น ภายหลังพระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล่าย) จึงได้อัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจากบ้านกรือเซะมาประดิษฐาน และเรียกชื่อศาลเจ้าใหม่ว่า ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือ ศาลเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยว ทุกปีที่นี่จะจัดงานประเพณีสมโภชแห่องค์พระ ลุยน้ำ ลุยไฟ ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 1 ของจีน ซึ่งตรงกับวันมาฆะบูชา เป็นที่รู้จักและเลื่อมใสศรัทธาของคนทั่วไป
หากใครมีโอกาสมาเยือนปัตตานี นอกจากจะแวะมาสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและองค์เทพอื่นๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ไม่ควรพลาด...อธิษฐานต่อหน้าองค์พระหมอ หรือโจ๊วซูกง ซึ่งเป็นเทพประธานให้ช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนใครมุ่งหวังเรื่องรัก โชคลาภ หรืออื่นๆ สอบถามได้จากเจ้าหน้าที่ประจำศาล แต่ถ้าจะให้สมหวังทุกประการ ควรไหว้ให้ครบจบในคราวเดียว
‘อาเนาะรู’ ดูดีมีสไตล์
ถนนเส้นนี้ไม่มีมีดีแค่ศาลเจ้า แต่เพราะเป็นย่านเก่าของชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยนที่ล่องเรือจากสงขลาเพื่อมาตั้งรกราก จึงยังหลงเหลือตึกเก่าให้บรรดาสายฮิปสายโบได้เดินเก็บภาพชิคๆ กับสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีส ที่เพิ่มเติมด้วยศิลปะบนกำแพงสวยๆ
สำหรับบ้านเก่าความหลังบนถนนสายนี้ที่ไม่ควรแค่เดินผ่าน ได้แก่ บ้านเลขที่ 27 หรือที่ลูกหลานทายาทหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง (ปุ่ย แซ่ตัน) รู้จักกันในนาม 'บ้านกงสี' บ้านหลังนี้เป็นบ้านเดิมของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ชาวจีนฮกเกี้ยนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 สร้างขึ้น เมื่อประมาณ 150 ปีก่อน
ตัวบ้านเป็นเรือนทรงจีนชั้นเดียว หลังคากระเบื้องดินเผาโค้งท้องช้างทรงจีน ส่วนตัวบ้านนั้นก่ออิฐถือปูน โดยใช้เป็นอิฐดินเผาขนาดใหญ่ฉาบด้วยปูนขาวผสมน้ำผึ้ง พื้นปูด้วยกระเบื้องดินเผาขนาดใหญ่ มีขื่อเป็นไม้ท่อนกลม ภายในมีห้องโถงสำหรับประดิษฐานเทพเจ้าต่างๆ และป้ายบูชาบรรพบุรุษ สองข้างของห้องโถงกลางเป็นห้องพัก ด้านหลังเป็นบริเวณห้องครัว ถัดออกไปจากตัวเรือนจะเป็นสวนผลไม้
หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ได้อาศัยที่บ้านหลังนี้จนบั้นปลายของชีวิต และก่อนตายได้ยกบ้านหลังนี้ให้เป็นที่พักสำหรับลูกหลานที่ไม่มีที่พักอาศัยเป็นของส่วนตัว เลยเรียกบ้านหลังนี้ว่า 'บ้านกงสี'
หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง เป็นต้นตระกูล คณานุรักษ์, ตันธนวัฒน์ และเป็นบรรพบุรุษฝ่ายหญิงของตระกูล วัฒนายากร, โกวิทยา, กาญจนบุษย์ เป็นต้น
อีกหลังหนึ่งชื่อ บ้านธรรมศาลา แรกเริ่มเดิมทีเป็นบ้านของนายจี๋และนางล่านง แซ่เล่า โดยนายจี๋มีบุตรชาย คือ นายจ่ายฮก แซ่เล่า ได้แต่งงานกับนางจูกี่ คณานุรักษ์ บุตรสาวของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง กระทั่งในปี พ.ศ.2463 นายจ่ายฮกได้ปรับปรุงบริเวณบ้านหลังนี้ให้เป็นโรงธรรม เรียกว่า 'ธรรมศาลา' โดยได้สร้างเป็นอาคารโล่ง บริเวณภายในมีบัวสำหรับบรรจุกระดูก และมีแท่นบูชารวมถึงป้ายบรรพบุรุษ ว่ากันว่าสมัยก่อนเด็กๆจะกลัวบ้านหลังนี้กันมาก
ใกล้กันคือ โรงเตี๊ยมอาเนาะรู เป็นร้านอาหารในบรรยากาศย้อนยุค กลางวันขายข้าวมันไก่และข้าวหมูกรอบ ส่วนกลางคืนขายเครื่องดื่ม ในอดีตเป็นเรือนรับรองของหลวงสุนทรสิทธิโลหะ (ตันจูเบ้ง) ลูกชายของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง
หลังสุดท้ายที่ต้องขอไปยืนโพสต์เก๋ๆ คือ บ้านเลขที่ 1 อาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสหลังใหญ่หัวมุมถนนอาเนาะรู ได้ชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมสุดสวยประจำย่าน น่าเสียดายที่หลายหลังในบริเวณนี้ถูกทุบทิ้งสร้างใหม่ หรือไม่ก็ใช้เลี้ยงนกนางแอ่น ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นความต่อเนื่องของวันวานย่านตลาดจีน แต่เท่าที่เหลืออยู่...อดีตของ ‘กือดาจีนอ’ แห่งนี้ก็มีเสน่ห์เหลือเฟือแล้ว
มรดกแห่งอดีต ‘กรือเซะ’
หากคุณยังจำได้... ลบภาพร้ายๆ ไปก่อน เพราะความงดงามของศาสนสถานแห่งนี้ไม่ควรบดบังด้วยสิ่งใด
มัสยิดกรือเซะ ตั้งอยู่ริมถนนสายปัตตานี-นราธิวาส ห่างจากตัวเมืองปัตตานีไปเพียง 7 กิโลเมตร โดดเด่นด้วยวงโค้งแบบโกธิคและสถาปัตยกรรมแบบตะวันออกกลาง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2121–2136) เนื่องจากศิลปะรูปแบบนี้เป็นที่นิยมในสมัยนั้น และมัสยิดยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ปิตูกรือบัน’ ตามรูปทรงของประตูโค้งด้วย
หนังสือสยาเราะห์ปัตตานีของหะยีหวันหะซัน กล่าวว่า สุลต่านลองยูนุสเป็นผู้สร้างมัสยิดแห่งนี้ เมื่อประมาณปีฮิจเราะห์ 1142 ตรงกับพุทธศักราช 2265 สมัยอยุธยาตอนปลาย เหตุที่ก่อสร้างไม่เสร็จเนื่องจากเกิดสงครามแย่งชิงราชสมบัติระหว่างสุลต่านลองยูนุสกับระตูปะกาลัน ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์ นอกเหนือจากนี้ยังมีตำนานความเชื่ออีกไม่น้อยที่เล่าขานถึงต้นสายปลายเหตุที่มัสยิดแห่งนี้ดูเหมือนยังสร้างไม่เสร็จ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จนถึงปัจจุบันที่แห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางศรัทธาของชาวมุสลิมทั้งในปัตตานีและใกล้เคียง เป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2478
และแม้ว่ามัสยิดกรือเซะจะผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้าย ผ่านการบูรณะมาหลายครั้งหลายครา ทว่า ความงดงามยังคงเป็นสิ่งที่ไม่เคยหายไปไหนและถ้าจะให้ดีต้องมาเห็นด้วยตาตนเอง
เต้นรำกับความหลัง ‘วังยะหริ่ง’
ที่แห่งนี้คือฉากหลังความรักของเด็กสาวชาวใต้กับนายทหารหนุ่มจากพระนคร ในบทประพันธ์เรื่อง ‘มัสยา’ ของพนมเทียม มองจากภายนอกบ้านไม้สองชั้นที่อ่อนช้อยด้วยลวดลายไม้ฉลุยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของวันวาน ในฐานะ ‘บ้าน’ อันอบอุ่นของเจ้าเมืองยะหริ่งในอดีต
วังแห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยพิพิธราษฎร์บำรุง อำเภอยะหริ่ง สร้างโดยพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม เจ้าประเทศราชเมืองยะหริ่ง อันดับ 3 เมื่อปี พ.ศ.2438 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตัวอาคารมีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะไทย มุสลิม จีน และยุโรป ชั้นล่างเป็นลานโล่งใต้ถุนสูง ส่วนชั้นบน แบ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ และห้องพักของเจ้าเมืองและบุตรธิดา เชื่อมกันด้วยบันไดโค้งแบบยุโรปดูสง่างาม
ความสวยงามสะดุดตาอย่างหนึ่งของบ้านหลังนี้อยู่ที่ ‘ช่องรับแสง’ ประดับด้วยกระจกสีเขียว แดง และน้ำเงิน มีช่องระบายอากาศและหน้าจั่วทำด้วยไม้ฉลุลวดลายพรรณพฤกษา นอกจากตัวสถาปัตยกรรมที่ได้รับการทำนุบำรุงอย่างดีแล้ว ภายในยังเก็บรักษาเอกสารและรูปภาพเก่าๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี
แค่ย้อนคิดถึงบรรยากาศเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วก็รู้สึกได้ถึงรุ่มรวยของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มากไปกว่านั้นคือความอบอุ่นของบ้านที่เต็มไปลูกหลานบริวาร ปัจจุบันแม้จะเหลือเพียงความทรงจำ แต่วังยะหริ่งยังคงเป็นที่พักอาศัยของทายาทซึ่งเป็นผู้ดูแลวัง หากสนใจเข้าชมควรติดต่อขออนุญาตล่วงหน้า
ลอดอุโมงค์โกงกาง ‘บางปู’
แดดร่มลมตก จะมีอะไรดีไปกว่าการนั่งกินลมชมวิวป่าโกงกาง แล้วชิมอาหารทะเลสดๆ ปูตัวโตๆ เนื้อแน่นๆ ที่บ้านบางปู อำเภอยะหริ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปไม่ถึง 10 กิโลเมตร
ชุมชนมุสลิมริมอ่าวปัตตานีแห่งนี้ ไม่ได้มีดีแค่วิวทิวทัศน์ แต่ยังมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ชาวบ้านช่วยกันดูแลทรัพยากรในพื้นที่ให้ยังคงความอุดมสมบูรณ์ จนสามารถเปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ ใครที่สนใจอยากสัมผัสกลิ่นอายชายเล แนะนำให้ไปล่องเรือชมอุโมงค์ป่าโกงกางอันร่มรื่น เก็บภาพสวยๆ ของลำแสงที่ส่องลอดแนวยอดไม้ เพลิดเพลินไปกับสัตว์ทะเลและนกน้ำที่หากินตามแนวชายฝั่ง ก่อนเรือลำน้อยจะพามุ่งหน้าสู่ผืนน้ำกว้าง ชมภาพดวงตะวันค่อยๆ หย่อนตัวลงท้องทะเล
แต่แค่นี้ยังไม่อาจเรียกว่า “มาถึงบางปู” จนกว่าจะได้ลิ้มรสเนื้อหวานๆ ของปูทะเลตัวเขื่อง อาหารทะเลสดๆ ที่ชาวบ้านจัดเตรียมไว้ให้ เนื่องจากบริเวณนี้เป็นแหล่งประมงพื้นบ้านที่สำคัญของปัตตานี ก่อนที่จะมีความคิดริเริ่มจัดการท่องเที่ยวชุมชน โดยชาวบ้านจะใช้เรือประมงที่ว่างเว้นจากการออกจับปลาเป็นพาหนะนำพานักท่องเที่ยวล่องชมความสวยงามของธรรมชาติและวิถีชีวิตรอบอ่าว หรือถ้าใครอยากทดลองเรียนรู้วิถีชาวประมงภาคปฏิบัติก็บอกได้
การท่องเที่ยวที่บ้านบางปูมีทั้งแบบเช้าไปเย็นกลับและค้างคืน (สอบถามได้ที่ 08 6491 2556 หรือ 08 7296 9455 ) ซึ่งไฮไลท์สุดพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่พักค้างแรม นอกจากดวงดาวบนท้องฟ้า ยังมีหิ่งห้อยนับร้อยนับพันบนต้นไม้ที่แข่งกันส่งแสงระยิบระยับ ถ้าไม่หลับฝันดีก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
.............
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่นับจากก้าวแรกที่มาถึง จนถึงก้าวสุดท้ายบนผืนแผ่นดินปัตตานี บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรที่มีน้ำหนักมากพอจะทัดทานไม่ให้เรามาที่นี่
ตรงกันข้าม รอยยิ้มกว้างๆ นั่นต่างหากที่ส่งเทียบเชิญกลายๆ ว่าให้กลับมาอีกครั้ง... “ปัตตานี ยินดีต้อนรับ”
(สอบถามข้อมูลท่องเที่ยวได้ที่ ททท.สำนักงานนราธิวาส โทร 0 7352 2411)




