เปิดจุดอ่อนคดีฆ่านักท่องเที่ยว ไขปมทำไมสังคมเชื่อ'จับแพะ'

(รายงาน) จุดอ่อนสำคัญดังที่นำเสนอข้างต้นนั้น เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อ "เครดิต" และ "ความน่าเชื่อถือ"ของตำรวจ
จะเรียกว่า "ปิดคดี" แล้วก็คงพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก กับคดีฆาตกรรม นายเดวิด มิลเลอร์ และ นางสาวฮันนาห์ วิเทอริดจ์ สองหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บนเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี แม้ว่าตำรวจจะจับกุมดำเนินคดี นายวิน ไม่มีนามสกุล และ นายซอ ลิน สัญชาติพม่า เชื้อสายยะไข่ ในฐานะผู้ที่ก่อคดีหฤโหดนี้ พร้อมคำรับสารภาพแล้วก็ตาม
เหตุที่ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าคลี่คลายคดีได้แล้ว เป็นเพราะผ่านมา 5 วันหลังจากจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งโดยกระบวนการยุติธรรมจะมีการดำเนินคดีสองหนุ่มชาวพม่าไปตามกระบวนการสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหา และเตรียมสรุปสำนวนพร้อมความเห็นสั่งฟ้องต่ออัยการจังหวัดเกาะสมุยในเร็ววันนี้ ทว่าจนถึงขณะนี้กลับยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจ โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ดังกระหึ่ม
มีการตั้งข้อสังเกตร้ายแรงถึงขั้นว่าตำรวจ "จับแพะ" (บางคนเรียก "แพะม่า" ล้อเลียนจากคำว่า "พม่า") และ "ซ้อมทรมาน" เพื่อให้ผู้ต้องหารับสารภาพ ทั้งๆ ที่ตำรวจน้อยใหญ่ได้ออกมานั่งยันนอนยันว่า ผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอระหว่างผู้ต้องหากับสารคัดหลั่งที่พบในร่างผู้ตาย และก้นบุหรี่ที่ตกอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุนั้น ตรงกัน!
ขณะที่การสอบสวนพยานบุคคลก็ให้เบาะแสไปถึงตัวเพื่อนผู้ต้องหาที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน และเมื่อมีการสอบสวนเพิ่มเติม ผู้ต้องหาก็ให้การรับสารภาพ และยินยอมนำตำรวจไปชี้จุดเกิดเหตุ
หากจะสืบสาวว่ากระแสในเชิงลบที่เกิดขึ้นในคดีนี้มีสาเหตุมาจากอะไร ก็พอจะประมวลได้จากการทำงานของตำรวจ ซึ่งพบว่ามีอยู่หลายขั้นตอนที่ยังเป็น "จุดอ่อน" หรือ "ช่องโหว่" จนถูกกระแสกระหน่ำดังกล่าว
เริ่มจาก "ที่เกิดเหตุ" ซึ่งถือว่าเป็นปฐมบทของการคลี่คลายคดี ตามหลักการ "พยานวัตถุ" จากที่เกิดเหตุนั้นมี "คุณค่า" มากกว่า "พยานบุคคล" ซึ่งมีปัจจัยแทรกซ้อนให้ "กลับคำให้การ" ได้ตลอดเวลา
ในเอกสารประกอบการสอน "การป้องกันที่เกิดเหตุ" ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า พยานวัตถุมีคุณค่าและมีความสำคัญ 10 ประการ คือ
1.เป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงการเกิดขึ้นจริงของคดีหรือเป็นการพิสูจน์ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น 2.สามารถเชื่อมโยงผู้ต้องสงสัยให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้เสียหายหรือกับสถานที่เกิดเหตุ 3.สามารถบ่งชี้ถึงตัวผู้กระทำความผิด 4.สามารถป้องกันผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกล่าวหาได้ 5.สามารถยืนยันคำให้การของผู้เสียหาย
6.สามารถทำให้เกิดการรับสารภาพหรือยอมรับการกระทำความผิด 7.สามารถเชื่อถือได้มากกว่าประจักษ์พยาน 8.ในกรณีที่พนักงานสอบสวนมีปัญหาในเรื่องการทำสำนวน พยานวัตถุยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ศาลจะใช้พยานวัตถุเป็นหลักเพื่อช่วยตัดสินคดีให้เร็วขึ้น 9.ผลการตรวจวิเคราะห์วัตถุพยานโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย จะเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มากขึ้นในชั้นศาล และ 10.การมีอยู่ของวัตถุพยานซึ่งจะนำชี้ถึงข้อเท็จจริงในสถานที่เกิดเหตุ ใช้เป็นประโยชน์ยุติข้อโต้แย้งได้
ทั้งหมดนั้นเป็นหลักทฤษฎี แต่ในความเป็นจริงที่เกิดเหตุในคดีนี้ พบว่าการป้องกันที่เกิดเหตุอยู่ในระดับ "ไร้มาตรฐาน" การเก็บหลักฐานค่อนข้างมีปัญหา ไม่เพียงแต่ไม่สามารถ "แช่แข็งที่เกิดเหตุ" ได้เท่านั้น แต่ยังปล่อยให้ที่เกิดเหตุถูก "ปนเปื้อน" อีกด้วย
นายโจ แจ็คสัน อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสกอตแลนด์ ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมปฏิบัติหน้าที่ในคดีฆาตกรรมอันโด่งดังและสุดหินในสกอตแลนด์ก่อนที่เขาจะเกษียณอายุราชการ ให้สัมภาษณ์กับ SundayPost.com ว่า วิธีการที่ตำรวจไทยดำเนินการสืบสวนอยู่นั้นเหลือเชื่อ มีความผิดพลาดมากมายในเกือบจะทุกๆ แง่มุมของการวิเคราะห์
"การควบคุมดูแลงานตำรวจของพวกเขาดูจะล้าหลังไปกว่าพวกเราสัก 20 ปี การจัดการดูแลหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นผิดหลักการมากๆ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้เองทำให้พวกเขาเกิดปัญหาเมื่อพวกเขาจะต้องพาใครสักคนไปที่ศาล" นายแจ็คสันกล่าวกับ SundayPost.com
เขายังระบุด้วยว่า การรั่วไหลของรูปภาพที่น่าขายหน้าได้หลุดออกมาหลังจากที่ตำรวจได้อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปถ่ายรูปตัวเอง (selfies) บนชายหาด ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ
ด้าน อดีตนายตำรวจระดับสูงจากกองพิสูจน์หลักฐานของบ้านเรา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับครูบาอาจารย์ อธิบายข้อสงสัยในคดีว่า จริงๆ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไม่ใช่แพะ เพราะหลักฐานจากดีเอ็นเอไม่สามารถทำให้มีแพะได้ อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าคดีนี้แทบไม่มีหลักฐานอื่นเลย ฉะนั้นถ้าไม่มีหลักฐานน้ำอสุจิในศพผู้ตาย ทุกอย่างก็คงจบ
สาเหตุที่คดีนี้แทบไม่มีหลักฐานอื่น มาจากเหตุปัจจัย 3-4 ประการ คือ 1.การปิดพื้นที่เกิดเหตุไม่ดีพอ ปล่อยให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปเหยียบย่ำ ถ่ายรูป ทำให้หลักฐานที่อาจเป็นวัตถุพยานสำคัญถูกทำลายไปเกือบหมด
2.สื่อมวลชนนำเสนอข่าวที่ได้จากตำรวจอย่างละเอียดลออมากเกินไป ทำให้สืบจับคนร้ายได้ยาก เพราะคนร้ายรู้ตัวก่อน เช่น หลักฐานที่ได้จากชาวต่างประเทศซึ่งรู้จักกับผู้ตาย ก็นำไปรายงานละเอียดถึงขนาดว่าผู้ต้องสงสัยใส่ตุ้มหูข้างไหน อย่างนี้ผู้ต้องสงสัยทราบข่าวก็จะพากันหลบหนีไปหมด ยังดีที่คดีนี้ผู้ต้องหาเป็นต่างด้าว ทำให้ไม่สามารถหลบหนีไปกบดานตามสถานที่ต่างๆ ได้ง่ายนัก
3.เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข่าวมากเกินไป ทั้งให้ข่าวเชิงลึก และให้ข่าวอย่างเป็นทางการรายวัน เรียกว่าป่าวประกาศกันเสียจนไม่มีความลับอะไรเหลือ ซึ่งจุดนี้จะไปโทษสื่อฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องโทษเจ้าหน้าที่ด้วย
4.หัวหน้าวิทยาการจังหวัด โดยมากไม่ได้เติบโตมาจากสายงาน ทั้งๆ ที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะด้าน แต่กลับเป็นนายตำรวจจากหน่วยอื่นย้ายมากินตำแหน่ง หรือครองยศ เพื่อขยับขึ้นตำแหน่งอื่นต่อไป
"หัวหน้าวิทยาการจังหวัดทุกวันนี้ แต่ละคนที่นั่งๆ กันอยู่ มีความรู้บ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกถูกย้ายมาจากหน่วยอื่น ส่วนการปิดที่เกิดเหตุ เป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่ แต่ก็ไม่เคยปิดจริงๆ จังๆ สักคดี ไม่ใช่เฉพาะคดีนี้ เพราะคดีอื่นก็เหมือนกัน ไม่เหมือนจับบ่อนที่แห่กันไปทั้งโรงพัก หรือไปดูว่ามีเงินตกบ้างหรือเปล่า แต่พองานฆ่ากันตายแบบนี้ แทบไม่มีใครไป เรียกยังไม่ไปเลย เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็ไม่มี ต้องไปจากจังหวัด กว่าจะไปถึงก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว"
เขากล่าวทิ้งท้ายว่า กระบวนการทำงานของบ้านเรา ทุกอย่างเป็นปัญหาหมด
"ให้สัมภาษณ์กันเก่งเหลือเกิน โดยเฉพาะพวกที่ไม่รู้เรื่อง คดีไหนเกิดขึ้นก็แจงสี่เบี้ยจนคดีต่อไปไม่ต้องทำ เรื่องแบบนี้ที่อื่นไม่มี มีแต่เมืองไทยที่เดียว"
ไม่เฉพาะการตรวจพิสูจน์ที่เกิดเหตุเท่านั้นที่เป็นจุดอ่อน แต่กระบวนการสอบสวน "ผู้ต้องสงสัย" หรือ "ผู้ต้องหา" ก็ถูกตั้งคำถามว่าอาจมีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน
นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน บอกว่า ผู้ต้องสงสัยถูกกักตัวไว้โดยไม่มีตัวแทนทางกฎหมาย ไม่มีนักกฎหมายเข้าไปร่วมสังเกตการณ์โดยตรง ดังนั้นจึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำรับสารภาพของผู้ต้องสงสัย
ประเด็นนี้ คำชี้แจงจากทางตำรวจมีเพียงว่า พวกเขายังไม่ได้ขอให้มีทนายความ ถ้าพวกเขาขอให้มีทนายความ ตำรวจจะจัดหาทนายความให้ในฐานะที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพวกเขา
ขณะที่เว็บไซต์สื่อชื่อดังของพม่ารายงานว่า สมาคมชาวพม่าในประเทศไทยได้ประสานสถานทูตพม่าประจำประเทศไทย พร้อมทนายความจากสภาทนายความของไทย รวมถึงตัวแทนจากองค์กรด้านแรงงานพม่าในไทย เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติกับผู้ต้องหาชาวพม่าทั้งสองคน
จุดอ่อนสำคัญดังที่นำเสนอข้างต้นนั้น เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อ "เครดิต" และ "ความน่าเชื่อถือ" ของตำรวจ กระทั่งลุกลามไปสร้างความเสียหายต่อการพิจารณาคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีนี้หรือคดีไหน หรือการตัดสินคดีจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคดีฆาตกรรมและข่มขืนซึ่งมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตนั้น ศาลจะลงโทษจำเลยก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานปราศจากข้อสงสัยอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
แต่คำถาม ณ ขณะนี้ก็คือ ตำรวจมีหลักฐานเด็ดมัดผู้ต้องหาหรือยังว่าเขาเป็นคนฆ่า โดยเฉพาะถ้าเขาไม่ใช่ต่างด้าว และมีทนายเก่งๆ ว่าความให้ จะถามกลับในศาลได้หรือไม่ว่ารู้ได้อย่างไรว่าเขาคือฆาตกร? เพราะพฤติการณ์ในห้วงเวลาที่เกิดเหตุซึ่งไม่มีหลักฐานชี้ชัดนั้น ยังสร้างโครงเรื่องมารองรับได้หลายรูปแบบ ขณะที่คำรับสารภาพในชั้นสอบสวน กฎหมายใหม่ระบุว่าศาลไม่จำเป็นต้องรับฟังเสมอไป
สุดท้ายแล้วผลเสียหายก็จะตกอยู่กับกระบวนการยุติธรรมและประชาชน (ตลอดจนนักท่องเที่ยว) ผู้บริสุทธิ์ที่ต้องรับกรรม...
ส่วนคนร้ายหากกระทำผิดจริงก็มีโอกาสหลุดรอดเงื้อมมือของกฎหมายไปได้ เพียงเพราะจุดอ่อนในกระบวนการสอบสวนซึ่งรับรู้กันอยู่แล้ว แต่ยังเพิกเฉย ไม่ปรับปรุงแก้ไขให้ได้มาตรฐานกันเสียที!




