พูลทรัพย์ เจตลีลา ตลาดสีเขียว หัวใจสีขาว

หนึ่งในสมาชิกร่วมบุกเบิกตลาดนัดสีเขียว ผู้มีแง่งาม ความคิดตามหลักธรรมชาติ และกำลังใจใสบริสุทธิ์มาแลกเปลี่ยนกัน
หากเมื่อใดจะจับจ่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ ชื่อของ “Green Market” จะถูกกล่าวขานและการันตีความน่าเชื่อถือฉับพลัน...พูลทรัพย์ เจตลีลา หรือ ป้าจาย หนึ่งในสมาชิกร่วมบุกเบิกตลาดนัดสีเขียว และเครือข่ายสีเขียว ผู้มีแง่งาม ความคิดตามหลักธรรมชาติ และกำลังใจใสบริสุทธิ์มาแลกเปลี่ยนกัน
หญิงแกร่งคนนี้ เธอคือผู้ผลักดันและเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยน “วิถีชีวิตคนเมือง” ให้หันมาสนใจ “ความเป็นอยู่สีเขียว” เธอจึงเป็นที่รู้จักและชมชอบของกลุ่มคนจำนวนเล็กๆที่ค่อยๆขยายตัวมากขึ้น
และถึงแม้เธอจะก่อร่างสร้างโลกธรรมชาติมาอยู่ใกล้มือสังคมศิวิไลซ์จนสำเร็จแล้ว แต่ พูลทรัพย์ เจตลีลา ก็ยังสนุกกับการทำกิจกรรมอันหลากหลายในโลกออนไลน์ ทั้งกลุ่มคนรักต้นไม้ กลุ่มสวนผักคนเมือง กลุ่มตลาดสีเขียว กลุ่มเกษตรอินทรีย์ กลุ่มคนชอบเมนูอาหาร “ครัวดอกไม้” และอีกมากมาย
ชีวิตของเธอล้วนผูกพันอยู่กับคำว่า ธรรมชาติ ซึ่งเป็นคำสามัญแสนธรรมดาที่น่าจะตีความได้ง่าย ซึ่งแต่ละคนต่างตีความไม่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะแปลนัยยะออกมาอย่างใด แบบใด ก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิด-ถูก เพราะคุณค่าที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่กับการนำธรรมชาติมาใช้อย่างถูกวิธีหรือไม่ต่างหาก ถ้าใช่ มันก็ล้วนก่อเกิดสิ่งดีงามอย่างแน่นอน
ธรรมชาติในแบบ พูลทรัพย์ เจตลีลา หรือ “ป้าจาย” ที่ชาวโลกไซเบอร์รู้จักเป็นอย่างดีนั้น เธอตีความและหยิบมาใช้ในแบบฉบับของตัวเธอเอง
ก่อนจะเป็น “ชาว Green”
หากย้อนไปเมื่อสัก 40 ปีก่อน คงมีกลุ่มคนจำนวนน้อยที่เลือกเรียนด้านสถาปัตยกรรม แต่ทว่า พูลทรัพย์ เจตลีลา กลับตัดสินใจเป็นหนึ่งในกลุ่มนักศึกษา “เด็กสถาปัตย์”
ไม่เพียงแต่เด็กที่เรียนจบงานสถาปนิกเท่านั้น จะเป็นที่หมายตาขององค์กรเพื่อดึงตัวมาทำงาน แต่ก็ยังมีงานด้านกราฟิกดีไซน์ด้วย ซึ่งเธอเลือกทำงานสาขานี้กับบริษัทโฆษณาชื่อดังในสมัยนั้น
เป็นเวลาเกือบ 20 ปีเต็มที่คลุกคลีอยู่ในวงการโฆษณา และมันก็ย่อมถึงจุดอิ่มตัวเป็นธรรมดา
จุดอิ่มตัวที่พูดถึงนี้ “ป้าจาย” ของคนในกลุ่มโลกสีเขียว เล่าว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่ทำงานชนิด “ถวายหัว” ให้กับออฟฟิศ เรียกว่าทำงานตั้งแต่เช้ายันดึก ไม่ใส่ใจสุขภาพกายและสุขภาพใจ จนกระทั่งครอบครัวขาดความสัมพันธ์ที่ดีไป
“ลูกสาวตอนนั้นอายุเพียง 5-6 ขวบก็ต่อต้าน เพราะคนเป็นแม่กลับบ้านดึก ทำให้ลูกต้องอยู่กับพี่เลี้ยงตลอดเวลา จึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่คุณพ่อป่วยหนัก ท่านก็อยากเห็นหน้าลูกสาว แต่ด้วยความที่เราบ้างานอย่างหนัก อยู่กับโต๊ะเขียนแบบ ทำงาน ทำงาน และทำงานอยู่อย่างนั้น จนแทบไม่มีเวลาไปหาคุณพ่อ ซึ่งกว่าจะปลีกตัวไปหาท่านได้ ตอนนั้นอาการก็หนักมากแล้ว”
เหตุการณ์เหล่านี้ผลักดันให้พูลทรัพย์ หันกลับมามองตัวเองและเริ่มตระหนักรู้ว่าวิธีการทำงานเช่นนี้ ไม่สามารถตอบโจทย์การดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพได้ เธอจึงมองหาลู่ทางอื่นควบคู่ไปกับการทำงานประจำด้วย
แต่แล้วในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 หรือ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงแกร่งคนนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยทีเดียว จากคนที่มีกำลังทรัพย์และรายได้ที่การันตีว่ามีความมั่นคงสูง กลับดิ่งลงไปสู่ความย่ำแย่เกินคาดเดา
“จากที่มีรายได้ก็ไม่มี ไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าบัตรเครดิต ไม่มีเงินที่จะให้ลูกสาวเรียนต่อ แต่ยังมีโชคอยู่บ้างตรงที่ ยังสามารถกู้เงินเรียนจากรัฐบาลได้ และตอนนี้ลูกสาวก็สามารถใช้เงินกู้ตอนเรียนได้หมดแล้ว”
บทเรียนยามลำบากครั้งนั้นทำให้ พูลทรัพย์ กลายเป็นคนที่รู้จักความพอเพียง เธอได้ลองใช้ชีวิตแสนเรียบง่าย ไปเก็บผักที่ทุ่งแก้มลิงบริเวณข้างบ้านเพื่อนำมารับประทาน เก็บเล็กเก็บน้อยจากในทุ่งมาประกอบอาหาร ซึ่งเธอบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยที่เก็บผักเก็บพืชผลมากิน
ความไม่ขวนอายที่จะทำกินในวันนั้น จึงทำให้พูลทรัพย์ เรียนรู้ที่จะลงจากหอคอยงาช้าง ซึ่งเธอได้เพียรสร้างภาพในหัวมาตลอดว่า “ฉันเป็นคนโก้หรู ฉันเป็นคนทำงานในแวดวงโฆษณาและองค์กรอันดับต้นๆ เชียวนะ”
“สิ่งเหล่านี้มันหล่อหลอมและบ่มเพาะภาพมายาที่สร้างขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อเรายอมสละความคุ้นเคยแบบเดิมๆ จะเห็นความเป็นจริง และพบความสุขตรงหน้า การเก็บพืชผักที่ทุ่งแก้มลิงมากิน ก็ทำให้ได้เรียนรู้ว่าพืชแต่ละชนิดเป็นเช่นไร จึงได้ศึกษาตั้งแต่ตอนนั้น หากไม่มีวันแห่งวิกฤติ ก็คงไม่มีวันนี้”
ช่วงเวลาสร้างกำไรชีวิต
ความจริงแล้ว พูลทรัพย์บอกว่า เธอเป็นคนต่างจังหวัด จึงมีใจรักในธรรมชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตในป่าคอนกรีตนานทีเดียว และเมื่ออยู่ในเมืองแล้วไม่มีความสุข จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากเธอจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นในวัยเยาว์
“ในวันแรกที่ตัดสินใจลาออกจากงาน วินาทีที่ได้ปั่นจักรยานไป ได้สัมผัสถึงแดดอุ่นๆ สายลมแห่งธรรมชาติที่มาต้องผิวกาย มันช่างสดชื่น และทำให้มีความสุขเกินจะบรรยายได้ ช่างสุขแตกต่างจากตอนที่อยู่ในห้องแอร์เย็นๆมากมายนัก นี่เองจึงทำให้รู้ว่า สุขแบบนี้แหละที่ทำให้เราพอใจ หลังจากลาออกจากงาน จึงได้หยิบกระดาษ สี พู่กันมาปัดฝุ่นอีกครั้ง”
การที่เจอวิกฤติครั้งนั้นมันทำให้ ผู้หญิงคนนี้พบความสามารถแท้จริงของตนเอง พอเธอได้เรียนรู้วิธีการหมักขยะแล้ว ก็ขอจุดประกายไอเดียที่สั่งสมจากการทำงาน มาใช้ออกแบบถังหมักให้สวยงาม และเมื่อทำน้ำหมัก ทำปุ๋ยได้สำเร็จ ก็คิดต่อยอดเรื่องการปลูกผัก และอื่นๆต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนตอนนี้พูลทรัพย์เดินเข้าสู่สายการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มตัว
“เรียกว่าพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จากคนทำงานออฟฟิศทานข้าวกล่อง นั่งห้องแอร์เย็นๆ มาสู่โลกที่ปลูกผักเอง แล้วนั่งนับรอการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ที่ปลูก รอเก็บเกี่ยวทีละต้นๆ กว่าจะได้ชาแก้วหนึ่งต้องปลูกต้นไม้ตั้ง 15 ต้น”
พูลทรัพย์ บอกต่อว่า การปลูกต้นไม้นั้นมีข้อดี ทำให้รู้จัก “อดทนรอ” ทำให้ได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ช้าลง ใส่ใจในสุขภาพและอาหารที่รับประทานมากขึ้น จากที่เคยกินแต่อาหารฟาสต์ฟู้ด ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็เปลี่ยนมาบริโภคอาหารที่อุดมด้วยโภชนาการ ทำให้สุขภาพดี และต่อยอดไปสู่อย่างอื่นที่อยู่รอบตัว จึงก่อเกิดสิ่งที่ดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ
“ที่สำคัญคือ เราได้อยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงพร่ำสอนพวกเราชาวไทยเสมอมา ซึ่งเราต้องมีเศรษฐกิจพอเพียงที่พอดีกับตนเอง แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน”
และด้วยความที่ “ป้าจาย” ชื่อเรียกติดปากของสาวกออนไลน์ มีความสามารถอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวาดรูป เกษตรอินทรีย์ ทำอาหาร เขียนหนังสือ หลายคนจึงอยากรู้ว่า งานแบบใดที่ “ใช่” และ “คือตัวตน” ของเธอมากที่สุด
คำตอบนั้นคือ ทุกชิ้นงาน เพราะเธอเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถ “ทำ” และ “เป็น” ได้หลายอย่าง ซึ่งแต่ละคนมีรูปแบบและขีดจำกัดไม่เหมือนกัน เธอเชื่อว่าแต่ละคนสร้างกรรมมาแตกต่างกัน สะสมมาตั้งแต่หลายภพชาติมาก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนมีกรรมเป็นของตัว ขนาดฝาแฝดยังไม่เหมือนกัน
“ยังมีอีกตัวตนนะ ชอบมากๆ และดูแล้วจะใช่สำหรับเราที่สุด นั่นคือ การศึกษาธรรมะ แต่ก็เป็นสิ่งที่คนอื่นอาจไม่ค่อยรู้ เพราะไม่ค่อยได้เปิดเผยตนเองในด้านนี้มากนัก”
เธอเล่าต่อว่า เราทุกคนโชคดีมากที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้สร้างบุญ อันเป็นผลกรรมดี ได้มีโอกาสเรียนรู้ทุกข์และสุข ทำให้เห็นกายและใจของตัวเราเอง
มุมธรรมะของ “ป้าจาย”
หากให้ระลึกย้อนความสนใจธรรมะ พูลทรัพย์เล่าว่า มันเริ่มต้นตั้งแต่ครั้งคุณพ่อของเธอเสียชีวิต ในช่วงก่อนวิกฤติฟองสบู่แตก ช่วงนั้นเป็นเวลาแห่งความเสียใจ ทุกข์ใจที่ตัวเธอเองไม่สามารถดูแลบิดาอย่างที่ใจปรารถนา จึงทำให้เกิดความทุกข์แสนสาหัส เกิดคำถามในใจมากมาย
ประกอบกับได้ยินหลายคนพูดถึงธรรมะอยู่บ่อยครั้ง เธอจึงคิดว่า ธรรมะน่าจะดับทุกข์ได้ จึงได้เริ่มต้นศึกษาธรรมะนับแต่บัดนั้น
แล้ววันหนึ่ง ขณะขับรถติดไฟแดงอยู่ “ป้าจาย” พยายามเปิดฟังธรรมะ ไล่ไปทีละคลื่นความถี่ AM จนต้องหยุดอยู่ที่เสียงผู้หญิงคนหนึ่ง นั่นคือเสียงของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งเธอยกให้เป็น “ต้นแบบครูสอนธรรมะ” ซึ่งท่านมิได้เป็นภิกษุณีแต่อย่างใด แต่ถึงจะเป็นเพียงพุทธศาสนิกชนคนธรรมดา ก็สามารถสอนธรรมะได้เช่นกัน
เธอเตือนสติว่า ขออย่ายึดติดเพียงเครื่องแบบที่สวมใส่เพียงเท่านั้น ปัจจุบันมีหลายต่อหลายท่านที่สอนธรรมะโดยอิงจากการไขว่คว้า และการเรียนรู้จากพระอภิธรรม แล้วถ่ายทอดต่อเพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนรุ่นต่อไป เพียงแต่ผู้ฟังต้องใช้ปัญญาเรียนรู้ในทางที่ถูก นั่นก็คือ มีสัมมาทิฏฐิ
“ตอนแรกที่ได้ยินเสียงอาจารย์ เป็นเสียงที่ก้อง กังวาน หวานหู น่าฟัง มีจังหวะในการพูดที่ดี ไม่มีเสียง เอออ้า หรือคำว่า แบบว่า เสียงท่านราบเรียบ ใช้คำสละสลวย น่าฟังมากๆ ก็ประทับใจท่านตั้งแต่นั้นมา”
สิ่งที่อาจารย์สุจินต์สอนคือ กายและใจไม่มีใครเป็นนายหรือเป็นบ่าว หากเรามีความเข้าใจก็จะทุกข์น้อยลง ขอให้เชื่อในผลของกรรม เพราะเมื่อเชื่อก็จะไม่ประมาทในการกระทำ อกุศลกรรมก็จะไม่เกิด
“เราระมัดระวังได้ แม้ว่าจะไม่ได้ถือศีลห้าบริสุทธิ์ ระวังในที่นี้คือเราจะพยายามไม่พูดปด ไม่ดื่มสุรา สังวรมากขึ้น แล้วเราจะสามารถทำความดีได้ง่ายขึ้น ซึ่งการทำกุศลนี่เองที่ทำให้เราเกิดความสุขที่แท้จริง ยิ่งเราเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือคนอื่น จิตอาสา หรือจิตสาธารณะของเราก็จะโตขึ้นๆเอง”
“ป้าจาย” เล่าต่อว่า วิธีการทำกุศลในแบบฉบับของเธอ คือการทำดี เป็นแบบอย่างให้ดู เช่น การปลูกต้นไม้ให้ดู เผยแพร่สิ่งดีๆให้ฟัง นั่นคือการทำความดีที่มีคุณค่า เมื่อทำแล้วคนอื่นจะทำตามหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่คนๆนั้นจะต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะทำตามหรือไม่
“แต่หากใช้ปัญญาไตร่ตรองดีแล้ว ว่าหากทำตามจะเกิดผลดี แล้วตัดสินใจตามแบบอย่าง นั่นก็เป็นผลดีกับตัวเขาเอง เพราะเราเองก็ไม่นิยมที่จะไปเคี่ยวเข็ญ อยากให้เห็นว่าดีแล้วทำตามมากกว่า อย่างที่เขาว่าตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน หากคุณทำดี เอื้อเฟื้อคนอื่น คนใกล้ชิดคุณก็จะทำดีตามคุณ มันเป็นสิ่งดีที่ถ่ายทอดได้”
นอกจากนั้น “ป้าจาย” จะขอใช้ปัญญาสะสมกุศลกรรมดี ทำความดีให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นเชื้อที่ดีไปสู่ภพชาติต่อๆไป เพราะยิ่งสะสมไปมากเท่าไร สติก็จะเกิดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆมากเท่านั้น
“สิ่งที่ดีที่สุด คือการยอมรับในสิ่งที่เราเป็น รู้จักคำว่าพอเท่าที่ตนเองมี เรามีเท่านี้เราพอใจแค่นี้ อย่าวัดตนเองที่ความสวย มันเป็นสิ่งฉาบฉวยและไม่ยั่งยืน อยากให้วัดที่เราทำประโยชน์กับผู้อื่นได้มากน้อยแค่ไหนมากกว่า หากเราทำประโยชน์กับผู้อื่นได้มาก นั่นแหละคือการดำเนินชีวิตที่สร้างความสุขให้กับเราได้อย่างแท้จริง”







