จับตา ประชามติ‘โละรัฐธรรมนูญ60’ ดาบอาญาฟัน‘ศัตรูการเมือง’

จับตา ประชามติ‘โละรัฐธรรมนูญ60’ ดาบอาญาฟัน‘ศัตรูการเมือง’

ประชามติแก้รธน.เดินหน้า แม้มีปมจับตาเรื่อง ลดวันประชามติ อีกส่วนคือการใช้เรื่อง "รณรงค์แก้รธน." เป็นช่องพิฆาตศัตรูการเมือง หากเผลอ "ชี้นำ" ที่เข้าเกณฑ์ผิดกฎหมาย

KEY

POINTS

  • ครม. มีมติจัดทำประชามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส. (8 ก.พ. 69) แต่เกิดข้อถกเถียงทางกฎหมายเรื่องกรอบเวลา 58 วัน ซึ่งน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด (60 วัน) และอาจเสี่ยงทำให้การลงประชามติเป็นโมฆะ
  • รัฐบาลอ้างข้อยกเว้นในกฎหมายที่ให้อำนาจ ครม. กำหนดวันแตกต่างได้หากมีเหตุจำเป็น
  • แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กกต. ทั้งในประเด็นกรอบเวลาและถ้อยคำถามประชามติที่ถูกต้องตามกฎหมาย
  • การจัดประชามติพร้อมวันเลือกตั้งมีความสุ่มเสี่ยงที่การรณรงค์ของพรรคการเมืองอาจถูกตีความว่าเป็นการชี้นำประชาชน
  • ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายประชามติและมีโทษหนักถึงขั้นเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง อีกนัยของเรื่องนี้อาจกลายเป็นเครื่องมือทำลายคู่แข่งทางการเมือง

คณะรัฐมนตรีเริ่มต้นกระบวนการออกเสียงประชามติเรื่อง “รัฐธรรมนูญ” แล้ว โดยเห็นชอบวันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สส.ทั่วไป ในวันที่ 8 ก.พ.2569 ด้วยเหตุ คือ ประหยัดงบประมาณ การอำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากที่สุด รวมถึงลดภาระของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะดำเนินการทั้ง 2 เรื่อง

ทว่า ในกระบวนการเริ่มต้นของการจัดการออกเสียงประชามติ เพื่อให้ประชาชนเห็นชอบต่อการทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่นั้น ส่อแววไม่ราบรื่น เนื่องจากมีการตีความต่อ “วันทำประชามติ” ที่ไม่สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มาตรา 10 และมาตรา 11 ต่อเงื่อนไขของ “ระยะเวลา” ที่ต้องจัดการออกเสียงประชามติ ที่ว่า “การออกเสียงประชามติที่ทำในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง ต้องไม่เร็วกว่า 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วัน”

เพราะหากกำหนดวันออกเสียงประชามติพร้อมวันเลือกตั้ง สส.ทั่วไป คือ 8 ก.พ.ระยะเวลาประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญจะกินเวลา 58 วันเท่านั้น 

ต่อประเด็นนี้ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตกกต.ในฐานะนักวิชาการอิสระ โพสต์เตือนว่า เป็นจุดเสี่ยงทำให้การออกเสียงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ “เป็นโมฆะ” ด้วยเหตุที่ลดวันประชามติ

จับตา ประชามติ‘โละรัฐธรรมนูญ60’ ดาบอาญาฟัน‘ศัตรูการเมือง’

ขณะที่ในมุมจาก “ฝ่ายรัฐบาล” อธิบายความไว้ว่า มาตรา 11 นั้น วรรคสามส่วนท้าย มีบทยกเว้นให้ ครม.กำหนดวันที่แตกต่างจากที่กำหนดไว้ได้ หากมีเหตุผลความจำเป็นเกี่ยวกับงบประมาณ หรือเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จึงถือว่าเวลาประชามติ 58 วัน เป็นความชอบที่จะดำเนินการได้ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย

แม้ว่าในความสำคัญของการกำหนดห้วงระยะเวลา “ประชามติ” คือ การใส่ใจต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และรายละเอียดอย่างรอบด้านเพียงพอต่อเรื่องที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ

ดังนั้นการลดไป 2 วัน จึงถูกมองว่าสมควรที่จะ “ละเว้นได้” หรือไม่ เพราะเรื่องรัฐธรรมนูญนั้น คือ เรื่องสำคัญระดับประเทศและมีผลกระทบต่อผู้คน

คำอธิบายของเรื่องนี้ “นิกร จำนง” อดีตเลขานุการกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายประชามติ สภาฯ มองว่า การตั้งคำถามประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญในคำถามแรกนั้น ไม่มีความซับซ้อนต่อการทำความเข้าใจของประชาชน เพราะมีเพียงประเด็นเดียว เรื่องเดียว ว่า เห็นชอบ หรือ ไม่เห็นชอบ ต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ เท่านั้น ดังนั้นกรอบเวลาจึงเชื่อว่าสามารถร่นเวลาได้ แต่หากเป็นเรื่องที่ทำประชามติอื่นที่ซับซ้อนอาจต้องให้ความสำคัญกับเรื่องกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด

จับตา ประชามติ‘โละรัฐธรรมนูญ60’ ดาบอาญาฟัน‘ศัตรูการเมือง’

ส่วนประเด็นที่ถกเถียงนั้น ว่า จะ 58 วันทำได้ หรือต้อง 60 วันขึ้นไป “นิกร” มองว่าขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ “กกต.” ว่าจะยอมให้หรือไม่ เพราะในขั้นตอนปฏิบัติของรัฐบาลนั้น อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายประชามติ รวมไปถึงการพิจารณา “ร่นระยะเวลา” ที่คำนึงความจำเป็น ซึ่งกฎหมายประชามติฉบับแก้ไขเปิดช่องให้ทำได้

“เรื่องนี้แม้ว่าจะมีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ด้วยกฎหมายที่เปิดช่องให้อำนาจ รัฐบาลกำหนดวันประชามติที่แตกต่างจากกรอบกฎหมาย จึงเชื่อว่าประเด็นนั้นไม่นำไปสู่การทำให้ประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะได้ในท้ายที่สุด” นิกร ประเมิน

อดีตเลขานุการกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายประชามติ สภาฯ ขยายความด้วยว่า เมื่อ ครม. เห็นชอบกับการทำประชามติที่ผูกเข้ากับวันเลือกตั้ง จึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามวันเลือกตั้ง แต่หากวันเลือกตั้งมีการเลื่อนออกไปด้วยเพราะมีเหตุจำเป็นที่ทำให้การเลือกตั้งเกิดไม่พร้อมกันทั่วราชอาณาจักร ตามที่ กกต.ประกาศ วันประชามติต้องขยายวันออกไป หากเป็นเช่นนั้น จะหมดปัญหาที่เถียงกันเรื่องร่นเวลาประชามติ

กับอีกประเด็น คือ คำถามประชามติครั้งที่หนึ่ง ที่ “ครม.” ส่งให้ “กกต.” พิจารณา ใน 2 ตัวเลือก โดยตัวเลือกแรก คือ “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ตามมติที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อ 11 ธ.ค.2568

และตัวเลือกสอง คือ “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

โดยสาระสำคัญแล้วมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ เปิดทางทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เหตุผลที่ต้องส่งคำถาม 2 ตัวเลือก ให้ “กกต.” ตัดสินใจ เพราะในประเด็นคำถามตัวเลือกแรก ตามถ้อยคำที่ว่า“เห็นด้วยหรือ” ที่เป็นไปตามมติรัฐสภา นั้นไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย 

ส่วนคำถามตัวเลือกสอง ที่ใช้ถ้อยคำ “เห็นชอบ” นั้นเป็นไปตามบรรทัดฐานการตั้งคำถามประชามติในทางกฎหมายในใจความสำคัญที่ “กกต.” ต้องพิจารณาคือ ความถูกต้องของถ้อยคำตามกฎหมายเท่านั้น

กับการกำหนดให้ “ประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ” เป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สส.ทั่วไป ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคการเมืองต้องแบกนโยบายไปหาเสียงแล้ว ต้องพ่วงประเด็น “โละรัฐธรรมนูญ 2560” ไปหาเสียงเลือกตั้งด้วย เพื่ออย่างน้อยทำให้การรณรงค์ประชามติ เป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่มการเมือง

จับตา ประชามติ‘โละรัฐธรรมนูญ60’ ดาบอาญาฟัน‘ศัตรูการเมือง’

ทำให้ต้องติดตามประเด็นความสุ่มเสี่ยงต่อการชี้นำบนเวทีการเมือง ที่อาจถูกตีความได้ว่า คือ การรณรงค์ให้ มีการออกเสียงลงคะแนนเป็นไปในทางใดทางหนึ่ง หรือเพื่อให้ไม่ออกเสียง หรือเป็นการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายประชามติ ที่ลงโทษหนัก ถึงขั้นเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี

ต่อประเด็นท้ายนี้ ต้องจับตาให้ดี เพราะในศึกเลือกตั้งที่ ต่างฝ่ายต่างชิงการนำ อาจจับความไป เพื่อทำลายศัตรูทางการเมืองในช่วงการแข่งขันเลือกตั้งที่เข้มข้น