อมเรศ ศิลาอ่อน รากแก้วแห่งความดี

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 4 สมัยผู้นี้ ผ่านมรสุมนานัปการจนถึงวัยเกษียณ อมเรศ ศิลาอ่อน ขอย้อนรำลึกเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 4 สมัยผู้นี้ ผ่านมรสุมนานัปการจนถึงวัยเกษียณ อมเรศ ศิลาอ่อน ขอย้อนรำลึกเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต ร้อยเรียงถ่ายทอดให้เป็นวิทยาทานแก่ชนรุ่นใหม่
ต้นไม้กว่าจะเติบโตมาให้ร่มเงาและให้ผลผลิตที่งอกงามได้นั้น ต้องอาศัยรากที่แข็งแรงเพื่อชอนไชไปดูดสารอาหารเลี้ยงตนเองให้ยืนต้นและเติบโตได้ ซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะแผ่กิ่งก้านสาขากลายเป็นต้นไม่สูงสง่าต้องใช้ระยะเวลานานนับเป็นสิบๆปี อีกทั้งต้นไม้ที่แข็งแรงเมื่อเจอพายุกระหน่ำอาจมีแตกหักเสียหายบ้าง แต่หากรากยังคงแข็งแรงก็ยังสามารถที่จะเติบโตแตกกิ่งก้านสาขากลับคืนมาใหม่ได้เช่นเดิม
มนุษย์เราเองก็เช่นเดียวกันกับต้นไม้เจอมรสุมต่างๆให้ทุกข์ใจนับครั้งไม่ถ้วน มีล้มหาย ไม่ลุกก็เยอะ เพียงเพราะความคิดเพียงตัวเดียว แต่สำหรับบุรุษผู้นี้นั้นเชื่อและยืนหยัดในความดีเป็นที่ตั้ง แม้นจะเจอมรสุมพัดผ่านมาบ้างแต่ยังคงเชื่อมั่นและยืนหยัดอย่างสง่างามได้ในสังคม ประสบการณ์มีค่าจึงได้ถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานให้ได้รู้จักคิด ไตร่ตรอง และตัดสินใจใช้ชีวิต ดั่งคำพูดที่ว่า ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน บุรุษผู้นี้คือ อมเรศ ศิลาอ่อน
ช่วงชีวิตแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ในช่วงชีวิตของเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมาหลายช่วง ด้วยกัน
ช่วงแรก คือ ช่วงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ระบบการศึกษาของเขาสอนให้คนรู้จักคิด ที่เน้นด้านการคิดมากกว่าความรู้ ทำให้คนคิดเป็น ซึ่งอมเรศมองว่า การสอนให้คิดเป็นนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ถือเป็นจุดหักเหที่สำคัญของชีวิตก็ว่าได้
ช่วงที่ 2 คือการตัดสินใจออกจากราชการไปทำงานกับภาคเอกชน ต้องปรับตัว ต้องปรับแนวคิดใหม่ หลายๆอย่าง เป็นข้าราชการก็คิดแบบหนึ่ง ทำงานภาคเอกชนก็ต้องคิดอีกแบบหนึ่ง เป็นสิ่งที่ดี และเขาก็สนุกกับการเปลี่ยนแปลง
ช่วงที่ 3 คือ การตัดสินใจไปรับทำงานเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ทำงานให้ส่วนรวม ซึ่งการทำงานการเมืองกับภาคเอกชนก็ไม่เหมือนกัน
ช่วงที่ 4 คือช่วงตัดสินใจศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง คนมีธรรมะและเกี่ยวข้องกับธรรมะก็จะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งก็จะมีมุมความคิดและชีวิตที่ไม่เหมือนกับผู้อื่น ซึ่งเขาคิดว่าดี ได้ประโยชน์มากเพราะได้เห็นอะไรที่แตกต่างกัน ในหลายๆแง่มุม
ช่วงที่เป็นบททดสอบใจในช่วงทำงานการเมือง
ช่วงที่อมเรศเข้าไปทำงานตอนแรกนั้นถือว่าทำงานค่อนข้างง่าย ซึ่งเขาหาคนที่มาทำงานด้วยใจซื่อ มือสะอาดเพื่อแก้ไขปัญหา เมื่อชายคนนี้เข้าไปก็ทำได้ เรื่องที่เป็นบททดสอบใจที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องการพูดคุยกับคนให้เขาเข้าใจถึงปัญหารวมถึงขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้นขอแรงสนับสนุนจากเขา ดำเนินเรื่องเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้
ในกลุ่มนักการเมืองเองก็มีหลากหลายกลุ่ม ซึ่งต้องดูว่าใครจะมีความจริงใจในการที่จะทำงานเรื่องนี้บ้าง แน่นอนว่ามีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางกลุ่มที่เขาไม่เห็นด้วย ก็ต้องเจรจาเพื่อหว่านล้อมให้เขาเห็นด้วย เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ผ่านลุล่วงไปด้วยดีให้ได้ นั่นคือบททดสอบใจที่ยาก ณ ตอนนั้น
ทำการเมืองก็เหมือนเรียนธรรมะ ต้องมีความอดทนและใช้ขันติสูง ไม่ว่าสถานการณ์ใด ขันติต้องมาก่อน เพราะนักการเมืองเขาคิดและพูดไม่เหมือนคนอื่น จะปรับความคิดเพื่อเจรจาต้องใช้เวลาพอสมควร ฉะนั้นต้องใช้ขันติธรรมมากๆ
ช่วงที่ใช้กระบวนการคิดและตัดสินใจเยอะที่สุด
เป็นช่วงทำการเมือง เพราะการตัดสินใจแต่ละอย่างต้องรอบคอบ มันกระทบถึงคนจำนวนมาก และในช่วงที่ทำงานในองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เป็นช่วงที่ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องให้กับบ้านเมืองโดยที่รู้ว่ามีคนคิดต่างกับเขาเยอะ แต่อมเรศก็มั่นใจว่าทุกอย่างที่ทำถูกต้อง
การเป็นคนดีนั้นไม่ยากหรอก มันยากตรงการรักษาความดีมากกว่า ช่วงทื่ทำงานให้ ปรส. จึงเป็นช่วงที่ท้าทายตรงที่ต้องทำงานอย่างหนักและต้องทำงานตรงไปตรงมา ต้องใช้ความอดทนในการชี้แจงพอสมควร ก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อยไม่เกินความสามารถ
ทั้งนี้ คดีที่เกิดตามมาตอนหลัง (ปี พ.ศ. 2555 ศาลอาญา ได้มีคำพิพากษาคดีที่นายอมเรศ ศิลาอ่อน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีขายสินทรัพย์สถาบันการเงิน 56 แห่ง ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ให้จำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 3 ปี)
เขาถือว่าเป็นกรรมเก่ามากกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับว่า ปรส.ทำถูกหรือทำผิด อมเรศยังคงยืนยันว่า สิ่งที่ ปรส.ทำไม่มีอะไรผิด และเป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก ถ้าไม่ทำเช่นนั้นผลเสียจะเกิดมากกว่านี้อีกเยอะ ทุกอย่างทำด้วยประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ทำด้วยความโปร่งใส เขาจึงไม่เกรงกลัว
ความเก่งและความดี
การเป็นคนเก่งจะต้องเกิดจากความขยันนั่นคือวิริยะ การเป็นคนดีคือคนที่มีธรรมะและสามารถนำธรรมะมาควบคุมตนเอง ซึ่งก็มาจากขันติ และหลักธรรมอื่นๆประกอบกัน หากเก่งแต่ไม่อดทนต่อความเย้ายวนต่างๆ มันก็ทำให้เป็นคนที่ดียาก การเป็นคนดีมีขันติธรรมและทุกอย่างแต่ขี้เกียจมันก็เก่งยาก จะหาคนที่ทั้งเก่งและดีมันหายาก ซึ่งเราเองอาจเก่งและดีได้เพียงแค่ช่วงอายุหนึ่งก็มีอยู่มาก
สิ่งที่ทำให้ทั้งสองอย่างไปควบคู่กันทั้งเก่งและดีอย่างสมดุลได้จะต้องมี ความซื่อสัตย์อย่างยิ่งยวด นั่นคือ ซื่อสัตย์ต่อตนเองมาก เสียจนไม่มีทางเปลี่ยนแปลงคนๆนั้นให้ไปทางอื่นได้ โดยเฉพาะยิ่งเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ถูกต้องแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ นั่นคือ คนที่ซื่อสัตย์อย่างยิ่งยวด
ช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด
แน่นอนว่าต้องเป็นช่วงที่เป็นการศึกษาธรรมะ ซึ่งได้ทำกรรมฐาน ได้เข้าวัดบ้าง ซึ่งอมเรศได้มีโอกาสไปเรียนพระอภิธรรมโดยตรง ซึ่งเรียนตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาถึง 7 ปีครึ่ง เขาไปเรียนทุกวัน เว้นวัน เสาร์อาทิตย์และวันพระ เรียนช่วงบ่ายๆประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถือว่าหนักพอควร เพราะต้องสอบด้วยทั้งข้อเขียน 2 หน้า และสอบสัมภาษณ์ด้วย สัมภาษณ์ตก ก็ถือว่าตกหมด (หัวเราะอย่างมีความสุข)
เหตุผลที่ไปเรียนพระอภิธรรม คือ ตอนที่เริ่มทำกรรมฐานใหม่ๆ เขาเริ่มตอนสี่สิบกว่าๆแล้ว ช่วงเวลาที่นั่งกรรมฐานบางครั้งเกิดมีคำถามผุดขึ้นมา ว่าสิ่งที่ประสบมาคืออะไร ยิ่งตอนอาจารย์อธิบายว่าสิ่งนั้นคือเจตสิกอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร จึงหาหนังสือมาอ่านก็ยังไม่ค่อยชัดเจน ฉะนั้นหากอยากรู้จริงก็ต้องไปเรียนให้รู้ ยิ่งเราเป็นชาวพุทธด้วยแล้ว ยิ่งเกิดประโยชน์ นั่นจึงเป็นที่มาว่าเหตุใดจึงตัดสินใจเรียนพระอภิธรรม
ช่วงเรียนพระอภิธรรม
เมื่อเรียนพระอภิธรรมก็ทำให้รู้ว่าจิตมี 89 ดวง เจตสิกมี 52 รูป มี 28 ทำให้รู้ว่าแต่ละอย่างเมื่อนำมาประกอบกันหมายถึงอะไร เรียน 7 คัมภีร์ จริงๆก็ไม่ได้เรียนลึกซึ้งมากมาย เรียนเพียงผิวเผินให้พอเข้าใจเท่านั้นว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอะไร แค่นี้ก็เหนื่อยพอควรแล้วกว่าที่จะเข้าใจ แต่ในเมื่อตัดสินใจไปเรียนแล้วอย่างไรก็ต้องเอาจริง จะมาเรียนเล่นๆไม่ได้ ถือว่าตอนนี้สามารถตอบปัญหาที่คาใจของอมเรศได้ในส่วนใหญ่ อันไหนไม่รู้ก็ถามจากอาจารย์เอาเพื่อความกระจ่าง ถือว่าตอนนี้แม้จะเรียนมา 7ปีครึ่งแล้ว เขาก็ยังไปเรียนต่อเพิ่มเติมอยู่
สิ่งที่ได้รับจากการนั่งกรรมฐาน
จากการสังเกตของเขาเอง มันทำให้ความโลภกับความโกรธน้อยลง เมื่อสมัยหนุ่มๆ เขาเป็นคนที่โกรธง่าย อยากได้โน่นอยากได้นี่ก็มีอยู่มาก แต่ช่วงหลังมีความต้องการเหล่านั้นและความโกรธน้อยลงอย่างมาก อาจด้วยเหตุปัจจัยอื่นๆควบคู่ด้วยเป็นได้ ตอนนี้อมเรศมองว่า การอยากได้ไม่ใช่สาระสำคัญอีกต่อไป ความเห็นแก่ตัวมันลดลงไปมากๆ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด
เรื่องของการปล่อยวาง
คนส่วนมากปล่อยวางไม่ได้ จริงๆมันมีระดับของการปล่อยวางอยู่ ถ้าพูดในทางธรรมะการปล่อยวางคือการทิ้งสิ่งที่เรายึดถือทั้งหมด ทิ้งแม้กระทั่งการมีตัวตนของเรา เพราะเราทิ้งไม่ได้จึงทำให้เรายังติดอยู่ในสังสารวัฏอยู่ การปล่อยวางจึงเป็นการค่อยๆปล่อย ความโลภ ความโกรธ ความเห็นแก่ตัว ค่อยๆทำไปทีละน้อยๆๆ เมื่อปล่อยได้หมดคือไม่ยึดถือในอะไรเลย
เราต้องค่อยๆสละสิ่งที่เรายึดถือ เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านเรา หากเรายึดถือเราก็เสียใจ และพาลโกรธและหาว่าใครทำเรา นั่นคือแสดงว่ายังมีกิเลสยึดอยู่ แต่หากไม่ยึดถือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไหม้ก็คิดแค่ว่า ไม่เป็นไร ไหม้ก็ไหม้ไป ค่อยสร้างใหม่ได้ มันก็เท่านั้น นั่นคือการไม่ยึดถือ ถ้าคิดอย่างนั้นได้แสดงว่าเราเริ่มปล่อยวางได้
ความสุขในชีวิต
ในด้านทางธรรม คือ การปฏิบัติธรรมเพื่อจะสร้างเสบียงสำหรับชีวิตในอนาคต มาถึงขั้นหนึ่งเราจะรู้ว่า ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เราไม่สามารถเอาไปได้ แต่สิ่งที่เราเอาไปได้อย่างแท้จริงคือบุญที่เราได้ทำและสั่งสมไว้ในช่วงชีวิตนี้ เพื่อเอาไปใช้ในชีวิตต่อๆไปได้ นั่นคือ การทำบุญทำทาน รักษาศีล สร้างเสบียงไว้เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต อันนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับอมเรศ ศิลาอ่อน
ในด้านทางโลกความสุขของชายผู้นี้ คือ การได้อยู่กับครอบครัวที่น่ารัก และอยู่กันอย่างปกติสุข ความเป็นปกตินี่แหละคือความสุขที่สำคัญที่สุด
หลักยึดในการดำเนินชีวิต
พยายามหาจุดที่พอ ว่าจุดที่พอของเราอยู่ตรงไหน ยกตัวอย่างเช่น การทานข้าวของเรา จุดที่พออยู่ตรงไหน ทานเยอะก็ถือว่าเกิน เอวเราจึงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เราหาจุดที่พอเราได้ เราก็จะสามารถควบคุมร่างกายเราได้
การควบคุมร่างกายได้ มันต้องควบคุมใจให้ได้ก่อน ทั้งเรื่องความอยากได้สิ่งของ เราต้องคุมมันให้ได้ ต้องรู้ว่าอะไรที่ควรจะมี หรืออยู่ในวิสัยที่หาได้ก็หาได้ อะไรที่ไม่อยู่ในวิสัยที่หาได้ และเราพยายามหามันก็ต้องเป็นไปในทางทุจริต เมื่อต้องทุจริตมันก็ไม่คุ้มกัน ถ้าอยากได้จริงๆก็ต้องขวนขวายหาทางได้มาซึ่งโดยสุจริตมิใช่ทุจริต ถ้าหาทางสุจริตไม่ได้ก็อย่าไปเอามันซะ ก็เท่านั้นเอง







