แอ้-พรวรินทร์ นุตราวงศ์ กำลังใจใน 'ชุดขาว'

แม่พระของผู้ป่วยโรคมะเร็ง สมญานามเรียกแทนตัวพยาบาลสาว แอ้ - พรวรินทร์ นุตราวงศ์ นางฟ้าของผู้ทนทุกข์ขอส่งต่อ ความรัก ความห่วงใย และการให้
แม่พระของผู้ป่วยโรคมะเร็ง สมญานามเรียกแทนตัวพยาบาลสาว แอ้ - พรวรินทร์ นุตราวงศ์ นางฟ้าของผู้ทนทุกข์ขอส่งต่อ ความรัก ความห่วงใย และการให้เล็กๆ จากสองมือและหนึ่งดวงใจสร้างปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในที่สุด
"พลังรัก พลังใจ ที่มอบให้แก่กัน คือปาฏิหาริย์ที่ใครๆ ก็สร้างได้" คำโปรยเพียงประโยคสั้นๆ นี้ที่สอดแทรกอยู่ปกด้านในหนังสือ 'หัวใจเล็กๆ กับปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่' ซึ่งถ่ายทอดโดยแอ้ - พรวรินทร์ นุตราวงศ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ฝ่ายพยาบาล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เจ้าของรางวัลแทนคุณแผ่นดิน 76 คนดีนำทาง ประจำปี 2551 (คนดีกรุงเทพมหานคร)
แม่แอ้ในชุดพยาบาลสีขาวบริสุทธิ์ยังคงทำหน้าที่พยาบาลวิชาชีพอย่างขยันขันแข็ง และเมื่อเลิกงานตามเวลาราชการ ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี เธอก็ยังมีภารกิจซึ่งไม่มีกรอบเงินเดือนหรือเงื่อนไขของเวลามาบีบบังคับ แม่แอ้จึงยังตระเวณไปมอบกำลังใจด้วยถ้อยคำ รอยยิ้ม และอ้อมกอดอุ่นๆ
กายใจ : เริ่มสร้างปาฏิหาริย์ด้วยพลังใจได้อย่างไร
แม่แอ้ : จริงๆ เราก็ทำมาก่อนที่สามีจะป่วย (ภุชงค์ นุตราวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) เคสแรกที่ทำ เพราะวันหนึ่งเดินอยู่เวรตรวจการตอนเย็นก็เจอผู้หญิงผู้ชายคู่หนึ่ง เขานั่งกอดกันจับมือกันร้องไห้อยู่ ก็เดินเข้าไปถามว่าเป็นอะไรเหรอคะ..ทำไมถึงร้องไห้ เขาก็บอกว่าลูกเป็นมะเร็ง แม้ดูสภาพเราก็รู้แล้วว่าเด็กไม่ไหว แต่พวกเขาก็อยากอยู่เฝ้าลูก อยากได้ห้องพิเศษ เราก็พยายามช่วยเขาจนสำเร็จ
จากนั้นก็เหมือนว่ามีอะไรที่ทำให้เราได้เจอเรื่องราวทำนองนี้อีก มีบางคนบอกว่าพอมีพี่แอ้อยู่ด้วยก็รู้สึกว่าเหมือนมีญาติเป็นพยาบาล เหมือนจะทำอะไรก็จะปรึกษาพี่แอ้ก่อน เขาก็บอกกับเราว่าเขาไว้ใจเหมือนเราเป็นญาติคนหนึ่งที่จะดูแลเขา แล้วความกลัวมันก็ลดน้อยลงไป
คือเราไม่รู้หรอกว่าตอนที่หมอบอกว่าเป็นมะเร็งมันน่ากลัวขนาดไหน เพราะว่าเราก็บอกคนไข้ทั่วไปว่าผลออกมาแล้วนะคะ ว่าเป็นเนื้อร้าย เป็นมะเร็งนะคะ แต่เราไม่รู้สึกนะ จนวันที่เราได้รู้ผลจากสามีเราเองว่าเขาเป็นมะเร็ง วันนั้นเรารู้สึกว่ามันไม่หยุดแค่นั้นนะ มันถล่มทลายนะชีวิตนี้ มันดับวูบไปเหมือนฟ้าถล่ม แล้วเราก็ทำอะไรไม่ถูก เราก็นึกว่าเป็นแน่เหรอ ระยะไหน เราก็พยายามที่จะค้นคว้า สุดท้ายคือว่าใช่แน่นอนเราก็ต้องให้ยา
หลังจากวันนั้นก็รู้เลยว่า การเป็นมะเร็งมันไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้...
เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกอย่างไร แต่วันนี้เรารู้จริงๆ เลยว่า นี่เองคือความทุกข์อย่างแสนสาหัส ความทุกข์อย่างที่เราคิดว่าทำไมมันต้องเกิดกับเรา จากนั้นมาพี่ก็ดูแลสามี แต่จริงๆ ตอนนั้นเราก็ดูแลไม่ไหว เพราะพอเห็นหน้าเขาแล้วเราก็ร้องไห้ รู้สึกว่าความตายแค่เอื้อม ทุกครั้งที่เห็นคือเห็นความตาย เราจะไม่เข้าไปเยี่ยมเขาเลย พอเปิดประตูห้อง น้ำตาก็จะไหลแล้ว เราก็ถามพี่เป็นอย่างไรบ้าง แล้วเราก็ปิดประตูยืนร้องไห้หน้าห้อง
ตอนนั้นเรากลัวว่าเขาจะตาย หมอบอกว่าเป็นระยะที่เข้าไปในไขสันหลัง เราก็กลัวมาก พอหลังจากที่เขาดีขึ้นมา พอเราคิดว่าเขาผ่านพ้นจากการที่เขาคิดจะฆ่าตัวตาย จึงพาเขากลับบ้าน มันก็เป็นความรู้สึกอีกครั้งหนึ่งว่ามันยังไม่จบ ถ้าเราเอาเขากลับบ้านเราจะทำอย่างไรต่อไป
ช่วงนั้นก็เริ่มกอดเขาเป็นการกอดที่คิดว่าอีกไม่นานจะไม่มีเขาให้กอดแล้ว ทุกครั้งที่กอดเขาเรารู้สึกเหมือนได้ดึงพลังตัวเองกลับมาและถ่ายทอดพลังนั้นให้กับเขา ก็กอดมาเรื่อยๆ เขาดีขึ้น น้ำหนักก็เริ่มเพิ่มขึ้น เราก็คิดว่าดีจังเลย ก็เลยกอดมากขึ้น จนผ่านมาครบปี ดีใจที่เขายังไม่ตาย แล้วก็เริ่มรู้ผลของการกอดว่าคือพลัง
ช่วงที่สามีป่วยตอนนั้นก็รู้สึกแย่ เพราะหนึ่ง-ชีวิตเรากำลังจะไปอย่างสวยงาม ขึ้นตำแหน่งระดับสูง ทุกอย่างกำลังจะเหมาะสมกับชีวิตแล้ว แต่พอเขาป่วยเราก็รู้เลยว่านี้แหละที่เขาเรียกว่า รักแล้วทุกข์ เพราะแต่ก่อนเราอาจจะไม่รู้จักความรักจริงๆ เพราะอยู่ด้วยกันมา10-20 ปีก็รู้สึกเฉย
แต่พอวันที่รู้ว่าจะไม่มีเขาแล้วนี้คือความทุกข์มหันต์ ทำให้เราเข้าใจคนไข้มากขึ้น แล้วเวลาที่เจอคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็ง เราก็จะรู้สึกว่า นี่แหละคือความทุกข์ของเขา ถ้าเราเข้าไปช่วยตรงนี้ได้เขาจะสบายขึ้น ตอนที่สามีป่วยตอนนั้นเราไม่คิดว่าเขาจะรอดเลยนะ แต่ก็บอกหมอว่าถ้าเขาจะตายก็ให้เขาตายท่ามกลางความรักของเรา จุดนั้นแหละที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีคุณค่า
กายใจ : มีประสบการณ์ที่อยากบอกต่อใช่ไหม
แม่แอ้ : วันหนึ่งมีเด็กจากสงขลาโทรมาแล้วก็บอกสวัสดี หนูรู้จักป้าแอ้นะคะ หนูเป็นมะเร็งค่ะ ป้าแอ้จะช่วยคนให้สมหวังใช่ไหมคะ หนูเห็นป้าแอ้จากทีวี หนูอยากได้ปฏิทินดาราช่องสามค่ะที่มีลายเซ็นดาราด้วยนะคะ ก็โทรไปหาช่องสามเลยนะ แล้วก็ส่งไปให้เขาที่สงขลา พอดีมีโอกาสได้คุยกับแม่ว่าเด็กคนนี้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดระยะที่สี่แล้ว เขาก็โทรมาบอกเราว่าลูกสาวดีใจมาก เอาปฏิทินไปอวดพี่พยาบาลทุกคนในตึกเลยนะ เขาดูปฏิทินทุกวัน เราก็รู้สึกดีมากๆ แต่แล้วก็รู้ว่าน้องเพิ่งจากไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
มีคนไข้เคสหนึ่งที่เราคิดว่าเขาต้องเสียชีวิตแน่นอน พักอยู่ไอซียู เราก็ถามเขาว่าหนูอยากให้แม่เฝ้าหนูไหมลูก เด็กก็บอกว่าอยาก ตอนแรกไอซียูไม่อนุญาตให้เฝ้า ก็เลยโทรไปหาคุณหมอเจ้าของไข้ว่า ถ้าคืนนี้จะขอย้ายหวาน (เด็กที่ป่วย) ไปห้องพิเศษได้ไหม เพื่อให้แม่กับลูกได้อยู่ด้วยกันเป็นคืนสุดท้ายของชีวิต แล้วเราจะเข้าไปดูแลแทนพยาบาลคนอื่นเอง ตอนนั้นเห็นแม่จับให้ลูกสาวนอนบนตัก สักพักแม่ของหวานก็ร้องเพลงจันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง...ร้องเวียนอยู่อย่างนี้ ซึ่งพอถามเหตุผลแม่ของหวานบอกว่า ตอนที่หวานเกิดเธอกล่อมลูกด้วยเพลงนี้ จากนั้นเขาก็ลูบหน้าลูกหอมลูก แล้วหวานก็จากไปตอนตีหนึ่งเกือบตีสอง ถ้าเขายังอยู่ไอซียูเขาก็ตายกับพยาบาล ไม่ได้ตายตอนที่เขาอยู่กับคนที่เขารัก
จากนั้นก็มีหลายครั้งที่มีน้องมาบอกว่าพี่แอ้ไปเยี่ยมเคสนี้ให้ทีสิ พอเราไปเขาก็ตกใจ พี่ก็ถามว่าทำไม ก็พี่คนนี้เยี่ยมคนไข้คนไหนก็ตายทุกทีไม่ใช่เหรอ อย่างนี้ก็มีนะ (หัวเราะ) เราก็บอกไม่ใช่ แต่มาให้กำลังใจ เวลาไปเยี่ยมก็จะบอกว่าทุกคนต้องตายนะ อย่างคืนนี้ดิฉันอาจจะตายก่อนก็ได้ ใครตายก่อนก็ไปรอกัน แล้วก็บอกว่าพวกคุณโชคดีที่ป่วยยังพอรู้ว่าพรุ่งนี้เราสามารถทำอะไรได้ แต่อุบัติเหตุเราเตรียมตัวไม่ได้เลย
เราก็จะบอกคนไข้เสมอเลยว่าคุณคือคนที่โชคดี บางคนตายเพราะหัวใจวายไม่ได้สั่งเสียอะไรเลยก็มี ไม่ได้ตั้งหลัก แต่พอเราได้กอดคนที่เรารัก พลังมันจะมา เราก็จะสอนให้พ่อกอดลูก ลูกกอดแม่ ครอบครัวกอดกัน แม้การกอดจะไม่ใช่วัฒนธรรมของคนไทย แต่ว่าการกอดเป็นธรรมชาติของมนุษย์ การกอดนี่เป็นพลังดีๆ ที่ส่งให้กันและกัน คนไข้หลายคนก็จะรอให้พี่แอ้ไปกอด รอเพื่อไปให้กำลังใจ
กายใจ : เรียนรู้วิธีการแบบนี้มาจากไหน
แม่แอ้ : ครั้งแรกคือเรากอดสามี เพราะครั้งแรกที่เราเห็นเขากำลังจะกระโดดตึก ก็ตกใจมาก เพราะเราคิดว่าคนที่คิดฆ่าตัวตายถ้าครั้งที่หนึ่งไม่สำเร็จ ครั้งที่สองสามจะตามมาจนกว่าจะสำเร็จ ก็เลยปิดฉากการรักษาแล้วพากลับบ้าน ตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร ก็กอดเขาแล้วบอกว่ารักเขานะ อย่าทำอย่างนี้ แอ้รักพี่..พี่ห้ามทำอย่างนี้ ถ้าพี่ไม่อยากรักษาไม่เป็นไรกลับบ้าน ไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน วันนั้นแหละเรากอดเขาอีก กอดมาเรื่อยๆ
แรกๆ เขาก็เฉยๆ นะ แต่หลังจากนั้นเขารับรู้ว่าสัมผัสที่เรามีให้เขาก็เยอะ เขากอดตอบ บางครั้งที่เรากอดเสร็จ บางครั้งที่เราท้อแล้วเราก็ร้องไห้ เขาก็กอดเราแน่นขึ้นไปอีกเหมือนเพิ่มพลังให้กับเรา มันก็เลยมีความรู้สึกว่านี่เป็นพลัง การกอดมีพลัง วันหนึ่งเป็นสิบๆ ครั้งเลยนะ แล้วก็บอกลูกว่ากอดพ่อสิลูก ให้กำลังใจพ่อ ก็ทำให้เขาอยู่ผ่านมาถึงปี สองปี สามปี
ตอนหลังได้ไปเรียนคอร์สเกี่ยวกับการกอดกับวิทยากรอิสราเอลที่กระทรวงศึกษาธิการจัดขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเด็กก้าวร้าว เหมือนที่เราทำเลย กอดเขาแน่นทุกครั้งเหมือนกับคิดว่าจะไม่มีเขาให้กอดแล้ว นี่คือการกอดถูกต้อง เราก็เผยแพร่เรื่องการกอดในการบรรยายทุกที่ เพื่อเพิ่มพลังรักพลังสุข โดยทำที่โรงพยาบาลก่อนเพื่อที่จะถ่ายทอดให้คนไข้ต่อ อย่างเช่นตอนที่เขาทราบข่าวร้าย เราก็เข้าไปกอดแล้วก็บอกว่าไม่ต้องกลัว เราอยู่ด้วย คุณป่วยใช่ไหม เราเคยผ่านมาแล้วคุณไม่ต้องกลัว แต่ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเลยไม่เป็นไร ให้คุณร้องไห้สามวันแล้วเรามาเริ่มต้นสู้ด้วยกัน
กายใจ : ตอนนี้อาการสามีเป็นอย่างไรบ้าง
แม่แอ้ : ตอนนี้ก็แข็งแรง เชื่อว่ามะเร็งมันแพ้พลังแห่งความรักแห่งความดี ถ้าเรายิ่งเศร้ ายิ่งไปทุกข์กับเขา มะเร็งยิ่งได้ใจ เราต้องกอดเขา บอกเขาว่าฉันรักเธอนะ เธออย่าทำร้ายเขานะ แล้วก็จะกรวดน้ำบอกคนไข้ว่าทำบุญกรวดน้ำกับเซลล์มะเร็งที่เขาจากไปแล้ว หลายคนก็ดีขึ้น ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อยู่วันนี้ให้ดีที่สุด
ตอนสามีป่วยแรกๆ ก็จุดธูปไหว้พระ บอกท่านว่าท่านคะ เอา C9 คืนไปได้ไหมคะ ขอเขาคืนมาให้แอ้ได้ไหม เพราะพอเขาป่วยเราก็ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น และตอนนี้อยากช่วย อยากจะทำอะไร ก็รีบทำเลย จะไม่มาคิดทีหลัง ว่ารู้อย่างนี้จะทำ ช่วยได้ช่วยเลย อย่ารีรอ หนังสือเล่มนี้ (หัวใจเล็กๆ กับปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่) ก็ช่วยให้ได้ซื้อเตียง ซื้อถังออกซิเจน เวลาไปบรรยาย ก็จะขายเอาเงินไปช่วยคนไข้เยอะมาก
สิ่งที่ได้คือความสุข ลูกก็นิสัยเหมือนเราเลย ลูกจะมาถามว่า แม่เพื่อนมีปัญหาอย่างนี้ มียายคนหนึ่งมีปัญหาอย่างนี้ ทำให้เรามองเห็นว่าลูกเรามีเมตตาแล้ว ลูกเราพร้อมช่วยคนได้แล้ว เหมือนหาเคสมาให้แม่
มีนักเรียนพยาบาลบางคน เดินเข้ามาบอกว่า พี่คะ ที่หนูเรียนพยาบาลนี่เพราะพี่เลยนะคะ พี่เป็นไอดอล คืออยากเป็นอย่างพี่ มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอิบ เราก็บอกเขาไปว่า วิชาชีพเราดีนะ ได้ทำบุญโดยไม่ต้องลงทุน แค่หนูคิดดี ทำดี พูดดี กับคนไข้ หนูก็ไม่ต้องไปทำบุญที่ไหนอีกแล้ว ธรรมะคือการกระทำ ทำด้วยความเมตตาคือบุญ เราก็ดีใจมาก นี่เป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้ เงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้
กายใจ : วิธีการรักษานี้แตกต่างจากหมอไหม
แม่แอ้ : เราจะบอกคนไข้ว่าถ้าไม่อยากกินยา ทำได้ แต่อย่าให้หมอรู้ เพราะถ้าหมอรู้ เขาจะเสียใจ เพราะเขาต้องการรักษาให้ดีที่สุด เคสที่แล้วนี่เอง คนไข้ใกล้ตายแล้วไม่ไหวแล้ว ปากแห้ง งดอาหารให้อาหารทางเส้นเลือด เราก็พูดหยอกเล่นไปว่าโอเลี้ยงสักแก้วไหมจะได้ดีขึ้น เขาก็พยักหน้า แล้วก็กินหมดถุงเลย คือกินก็ตาย ไม่กินก็ตาย กินได้สองสัปดาห์
สิ่งแรกต้องบอกว่าไม่ได้ขัดขวางการรักษาของหมอ แต่บางครั้งเวลาที่รู้ว่าคนไข้ต้องให้ยาต่อ ก็จะถามว่าให้ต่อดีไหม เราก็บอกคนไข้ว่าไหวไหม ถ้าไม่ไหวก็ให้บอกคุณหมอ แต่ให้รู้ว่าหมอปรารถนาดีกับคุณ มีคนไข้เคสหนึ่งพาแม่มาอายุ 85 เราก็บอกว่าหมอก็คงจะไม่ให้ยาคุณหรอก ถ้าให้ก็ต้องอ่อนที่สุด ซึ่งไม่ช่วยอะไรอยู่แล้ว ต้องคุยกับหมอให้ชัดเจน สุดท้ายคืออย่าให้แม่ทรมาน และวิธีของเราก็คือให้เขาถามแม่ว่าอยากทำอะไรแล้วให้แม่ทำ มะเร็งไม่ใช่ว่าเป็นแล้วตายเลยมันมีระยะเวลา
กายใจ : สุดท้ายแล้วอยู่ที่กำลังใจใช่ไหม
แม่แอ้ : กำลังใจสำคัญยิ่งกว่ายาทุกชนิด บางคนมีกำลังใจให้ยาแล้วไม่ล้ม ก็ยังเยอะเลย บางคนไม่มีกำลังใจให้ยายิ่งหนัก เพราะบวกกับความคิดที่ว่าต้องตาย ยาทุกอย่างมีพิษหมดแหละยาที่รักษาหัวใจก็มีผลต่อตับเหมือนกัน มันไม่มีอะไรที่บอกได้แน่นอนว่าใครจะเป็นอย่างไรต่อไป ปัญหามีไว้แก้ มะเร็งมีไว้ให้รักษา ช่วยใครให้รีบช่วย เด็กคนหนึ่งอยากเห็นทะเล พี่จะพาไปวันเสาร์ แต่เขาตายวันศุกร์ เพราะฉะนั้นอย่าปฏิเสธ ช่วยได้ทำได้ให้รีบ เราก็รู้สึกว่าตอนนี้มีอะไรเข้ามาก็จิ๊บจ๊อยไปหมด แล้วก็ชื่นชมตัวเองทุกวัน มองตัวเองทุกวันแล้วบอกว่านางฟ้าคนนี้สวยจังเลย อย่ารอค่ะที่จะต้องทำอะไร และเราต้องก้าวข้ามขีดจำกัดของชีวิต
...ทุกวันนี้ แอ้ - พรวรินทร์ นุตราวงศ์ ยังคงทำหน้าที่แม่พระของผู้ป่วยมะเร็ง บทบาทหนึ่งอาจถูกยึดโยงด้วยเงื่อนไขทางวิชาชีพ แต่อีกบทบาทหนึ่งไม่มีเงื่อนไขใดๆ ครอบไว้ และไม่มีจุดสิ้นสุดตายตัวว่าเธอจะทำมันไปถึงเมื่อไร...
...รู้เพียงว่า ในคำมั่นสัญญาที่เธอบอก คือ "เราจะทำความดีด้วยกันตลอดไปค่ะ"











