ชี้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันมีผลต่อผิวหนัง

ชี้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันมีผลต่อผิวหนัง

นักวิชาการระบุใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน ส่งผลทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง แสบร้อน อาการแพ้เกิดขึ้นได้ สารมีการสะสม

สถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเล นับเป็นหนึ่งในวิกฤติที่ธุรกิจน้ำมันและคนไทยต้องเผชิญ แม้โอกาสผิดพลาดจะเกิดได้น้อยมาก แต่ผลกระทบที่มหาศาลหากปล่อยให้เหตุการณ์บานปลาย บทเรียนของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือพีทีทีจีซี จากวิกฤติน้ำมันรั่วกลางทะเล ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินในลักษณะนี้

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 ก.ค. เวลาประมาณ 06.50 น. ขณะที่เรือบรรทุกน้ำมัน Malan Plato สัญชาติกรีซ กำลังถ่ายน้ำมันดิบผ่านทุ่นรับน้ำมันดิบมายังโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้เกิดเหตุท่อรับน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว รั่วที่บริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ (Single Point Mooring) ขณะเกิดเหตุวาล์วอัตโนมัติได้ตัดระบบการส่งน้ำมันทันที แต่ยังคงมีน้ำมันดิบรั่วออกมาประมาณ 50,000 ลิตร ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร โดยแนวทางในการจัดการกับคราบน้ำมันตามหลักสากล คือการควบคุมหรือจำกัดวงน้ำมันดิบไม่ให้กระจายออกไปในทะเลกินบริเวณกว้าง ซึ่งจะทำให้ยากต่อการจัดการ

ทั้งนี้ วิธีการกำจัดคราบน้ำมันในทะเลสามารถทำได้หลายวิธี นายพลังพล คงเสรี จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า หากคราบน้ำมันอยู่กลางทะเลวิธีการจัดการที่ทำได้คือการจุดไฟเผาคราบน้ำมันทั้งหมดซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่บริเวณที่ทำได้นั้นต้องอยู่ในทะเลลึกและห่างจากฝั่ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามเทคนิคนี้ไม่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์เสมอไป วิกฤติน้ำมันรั่วครั้งนี้ก็เช่นกัน เนื่องจากจุดเกิดเหตุมีระยะทางห่างจากฝั่งไม่มากพอ อีกทั้งทะเลอ่าวไทยมีความลึกเฉลี่ย 45 เมตร จุดที่ลึกที่สุดลึกเพียง 80 เมตร ซึ่งถือว่าตื้นมาก การจุดไฟเผาคราบน้ำมันจึงไม่สามารถทำได้

สิ่งที่ผู้บริหาร พีทีทีจีซี ตัดสินใจแก้ปัญหาคือการใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันดิบ ด้วยวิธีการพ่นสารเคมีจำพวก Oil dispersants ลงบนคราบน้ำมันในทะเล ที่จะช่วยให้คราบน้ำมันแตกตัวเป็นหยดน้ำมันขนาดเล็กที่จุลชีพในทะเลสามารถย่อยสลายได้ จากเครื่องบินและเรือ ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่รวดเร็ว หรืออีกวิธีคือใช้ Skimmers หรือเครื่องตักเก็บน้ำมัน ที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำกลางทะเล

สารเคมีที่ใช้มีชื่อทางการค้าว่า Slickgone NS TYPE 2/3 ผลิตโดยบริษัท DASIC ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของ NETCEN UK' และได้รับการรับรองจาก the Ministry of Agriculture Fisheries and Food ของอังกฤษ ซึ่งโดยตัวสารเคมีเองไม่ได้อันตราย

นายพหล โกสิยะจินดา ภาคชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า สารดังกล่าวมีคุณสมบัติที่ช่วยให้น้ำมันสามารถแตกตัวในน้ำและมีขนาดเล็กลงจนจมลงใต้ผิวน้ำเพื่อรอการย่อยสลายตามธรรมชาติ โดยเร็วที่สุดคือ 6 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสัดส่วนการใช้สารเคมีกับปริมาณคราบน้ำมัน

สารในกลุ่ม Slickgone อยู่ในรายชื่อสารขจัดคราบนํ้ามันที่กรมควบคุมมลพิษอนุญาตให้ใช้ในประเทศไทยและต้องได้รับการอนุมัติในการใช้งานแต่ละครั้ง ซึ่งต้องประเมินถึงความเหมาะสมในการใช้งาน ไม่ใช่ต้องการให้จะเห็นผลเร็วเพียงอย่างเดียว

"ปริมาณการใช้ที่เหมาะสม ของสาร Slickgone คือสารเคมี 1 ส่วน ต่อน้ำมัน 30 ส่วน ถ้าน้ำมันรั่ว 5 หมื่นลิตร และใช้สารเคมีไป 3.2 หมื่นลิตร อัตราส่วนอยู่ที่ 1 ต่อ 2 ซึ่งมีความเข้มข้นมากเกินไป และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง"

จากข้อมูลที่หาได้ในเบื้องต้น สารในกลุ่มยังไม่มีข้อมูลว่าทำให้เกิดความผิดปกติในระยะยาว แต่มีผลทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง แสบร้อน ซึ่งอาการแพ้เกิดขึ้นได้สำหรับคนที่เข้าไปจัดเก็บโดยตรง เนื่องจากสารดังกล่าวมีการสะสม
อย่างไรก็ตาม ปริมาณคราบน้ำมันที่ประเมินได้จากภาพถ่ายดาวเทียมมีความกว้าง 10-15 ตร.กม ยาว 8 ตร.กม. ถ้าฟิล์มน้ำมันหนาประมาณ 1 มิลลิเมตร ปริมาณน้ำมันคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 15 ตัน

การกำจัดคราบน้ำมันในทะเลยังคงเดินหน้า แต่ด้วยปัจจัยทางสภาพอากาศ กระแสน้ำขึ้นน้ำลงทำให้กปฏิบัติการเป็นไปอย่างยากลำบาก การปั่นป่วนของคลื่นลมในทะเลได้พัดพาคราบน้ำมันพัดเข้าชายฝั่ง ช่วงเขาแหลมหญ้าและเกาะเสม็ด ทำให้น้ำมันกระจายไปทุกทิศทุกทาง โดยอ่าวพร้าว ด้านทิศตะวันตกของเกาะเสม็ดได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงแหลมอื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนและยากต่อการควบคุม

สำหรับแนวทางสลายคราบน้ำมันบริเวณชายฝั่ง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่งและสิ่งแวดล้อมในบริเวณใกล้เคียง เช่น การใช้อุปกรณ์ตักเก็บดินทรายที่ปนเปื้อนตามชายหาด รวมถึง Sorbents หรือตัวดูดซับน้ำมัน เช่น แผ่นดูดซับ (absorbent sheet) โดยใช้เจ้าหน้าที่เป็นหลัก ในขณะที่การใช้ Vacuum หรือเครื่องดูดน้ำมันจากผิวน้ำและชายหาด อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมชายหาด

การจัดการที่เกิดขึ้นบริเวณชายหาด พีทีทีจีซี ได้วางแนวบูมดูดซับน้ำมัน (Absorbent Boom) จากชายหาดลงไปในทะเล เพื่อให้สามารถดูดซับน้ำมันได้มากยิ่งขึ้นทั้งที่หัวอ่าวและท้ายอ่าวพร้าว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันกระจายออกไปนอกอ่าว นอกจากนี้ มีการใช้ Vacuum Truck นำน้ำมันดิบ (Oil Slick) ที่เก็บขึ้นมาออกจากบริเวณอ่าวพร้าวไปรวบรวมไว้เพื่อนำไปกำจัด ด้านผลกระทบในทะเลใกล้ชายผั่งที่ยังพบคราบน้ำมัน และฟิล์มน้ำมัน มีการใช้เรือวางบูม หรือทุ่นลอยป้องกันการแผ่กระจายของน้ำมันบนผิวน้ำ เพื่อกั้นคราบน้ำมันไม่ให้กระจายไปในวงกว้าง

นายสมเกียรติ เตชกาญจนรักษ์ นักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตั้งข้อสังเกตุว่า ปฏิบัติการสลายคราบน้ำมันครั้งนี้ เป็นไปได้ว่าไม่ได้เตรียมการล่วงหน้ามาก่อน นั่นเป็นเพราะเหตุให้ ระหว่างเกิดเหตุการณ์ยังมีช่องว่างในการรอการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศ

"อย่าลืมว่าโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุน้ำมันรั่วมีน้อยมาก การเตรียมสารเคมีกำจัดคราบน้ำมันในปริมาณมากเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง แต่ก็เชื่อว่า พีทีทีจีซี แก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ แม้ไม่ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์มากก่อน” เขากล่าว และยกตัวอย่างอันตรายของการใช้สารเคมี เช่นดีดีที ที่เคยใช้กันมาก่อน แต่วันหนึ่งประกาศเลิกใช้ นั่นแปลว่า “เราไม่รู้ว่าของที่ปลอดภัยในวันนี้จะไม่ปลอดภัยในอนาคตหรือไม่ แต่อาจเป็นของที่ดีที่สุดในวันนี้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย"

ขณะที่ สถานการณ์ในพื้นที่ยังคงสับสน ทั้งการเดินทางมาตรวจสถานการณ์ของรัฐมนตรี สื่อมวลชนจากหลายสำนัก ทำให้ต้องตอบคำถามซ้ำๆ เดิมๆ การเข้ามาของจิตอาสาที่มากเกินไป ทำให้พื้นที่ไม่พอ ตลอดจนการเข้าไปเหยียบย่ำคราบน้ำมันทำให้เลอะและจัดการทำได้ยากขึ้นกว่าเดิม

ภาพการรับบริจาคเส้นผมเพื่อนำไปทำทุ่นดักคราบน้ำมัน ซึ่งใช้ได้จริงในระบบปิด ภายใต้สภาวะควบคุม แต่ปัญหาคือปริมาณน้ำมันมีจำนวนมาก การเลือกวิธีกำจัดต้องมองถึงความคุ้มค่า และปัญหาที่ตามมาในมุมของการกำจัดหรือนำวัสดุดูดซับออกจากพื้นที่ด้วย

ขณะเดียวกันมีบริษัทเอกชนกว่า 10 บริษัท จากต่างประเทศเข้ามาในพื้นที่เพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์แบคทีเรียช่วยสลายคราบน้ำมันให้กับ ผู้บริหารทีพีพีจีซี ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่เกิดความวุ่นวาย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักวิชาการเป็นกังวลคือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสารประกอบในน้ำมันส่วนที่เป็นโมเลกุลขนาดเล็กสามารถระเหยกลายเป็นไอ หายไปในสิ่งแวดล้อม แต่ส่วนที่เป็นโมเลกุลใหญ่ อย่างโพเพนละลายน้ำได้มากกว่าหายไปแค่บางส่วน และยังมีส่วนที่ละลายไม่ได้ ตกลงในน้ำ

แม้กลไกธรรมชาติมีสิ่งมีชีวิตจำพวกแบคทีเรียประเภทที่กินน้ำมันมีความสามารถในการย่อยสลาย ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม และขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมัน

ด้าน นายพิสุทธิ์ เพียรมนกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า การใช้สารที่เรียกว่า Slickgone NS TYPE ในการสลายคราบน้ำมีนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และหน้าที่ของสารตัวนี้คือเป็นตัวกลางระหว่าง น้ำกับน้ำมันเพื่อให้เกิดการตึงผิว และมีการย่อยสลายได้ ซึ่งสารดังกล่าวอยู่ในกลุ่มเดียวกับผงซักฟอก หรือซันไลต์ ทำให้โดยตัวของเขาไม่ได้อันตรายเพราะไม่มีสารในกลุ่มอโรเมติกส์ที่ย่อยสลายไม่ได้

ส่วนปริมาณสารที่ใช้นั้น ศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ (MSDS) ของกรมควบคุมมลพิษ กำหนดว่าต้องใช้ในสัดส่วน 1ต่อ 10 นั้น นายพิสุทธิ์ บอกว่า อัตราส่วน1ต่อ10 นั้นมาจากการคำนวณในพื้นที่จำกัดหรือในถัง ทำให้เวลามาใช้งานจริงอาจจะสามารถใช้เผื่อได้แต่เผื่อในปริมาณมากเท่าไหรนั้นขึ้นกับพื้นที่ อย่างไรก็ตามสารดังกล่าว คงไม่ได้อันตรายเพราะย่อยสลายได้

นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือจิสด้า บอกว่า สิ่งที่น่ากังวล คือสิ่งที่มองไม่เห็นในทางชีววิทยาคือ การสะสมสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ ในห่วงโซอาหารอย่างแพลงตอน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเลส่งออกในอนาคต โดยพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบยาวหลาย 10 ตารางกิโลเมตร จากแหลมหญ้า ถึงปากน้ำประแสร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลา 5-7 วันนับจากนี้ น่าจะขจัดสิ่งที่ดูน่าสยดสยองออกไป แต่น้ำมันไม่ได้หายไปไหน ในระยะยาว 3-6 เดือนข้างหน้า ฟิล์มน้ำมันจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์มากน้อยขนาดไหน ยังต้องจับตา โดยอีก 3-4 เดือนนับจากนี้ คาดการณ์ว่าบริเวณชายฝั่งจะมีทาร์บอลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นายสุชนา ชวนิชย์ จากภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสริมว่า สิ่งที่น่ากังวลคือคราบน้ำมันที่เข้าใกล้ชายฝั่ง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ และแนวปะการังซึ่งอยู่บริเวณชายฝั่งค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตามคราบน้ำมันที่อยู่ในทะเล ถือเป็นความรุนแรงระดับปานกลางที่สามารถล้อมกรอบและใช้สารเคมีในการกำจัดได้ แต่ระยะเวลาที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้กระจายไปไกลจนยากจะควบคุม และส่งผลกระทบต่อแนวปะการังในพื้นที่เสื่อมโทรมอยู่เป็นทุนเดิม

สถานการณ์ ณ วันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องฟ้องร้องชดเชยค่าเสียหาย แต่จะมีแนวทางป้องกัน ฟื้นฟู และเตรียมความพร้อมได้อย่างไรในอนาคต บทเรียนจากสถานการณ์น้ำมันรั่วผู้ที่เกี่ยวข้องต้องหาทางเตรียมพร้อมรับมือ เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ อีก ในความรุนแรงที่มากกว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมตัวสภาพที่แย่กว่า โดยวางแนวปฏิบัติขั้นตอนการดำเนินงานโปร่งใส ทำด้วยความเข้าใจ จำลองสภาวะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้หลักวิศวกรรม และวิทยาศาสตร์ช่วยแก้ไข ส่วนแนวทางสุดท้ายคือรอให้ธรรมชาติดูแล คืนสมดุลย์ให้กับตัวเอง

ส่วนข้อมูลการใช้สารเคมี ของ พีทีทีซีจี ระบุว่าน้ำยากำจัดคราบน้ำมัน Slickgone NS ประเภท II/III ประกอบไปด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติที่เป็นสารลดแรงตึงผิว ชนิดที่มีความเป็นพิษต่ำ และย่อยสลายตามธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว น้ำยากำจัดคราบน้ำมัน Slickgone NS ออกแบบให้ใช้กำจัดคราบน้ำมันดิบ น้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี ได้รับการรับรองจาก หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางทะเลของประเทศอังกฤษ และ Warren Spring Laboratory สามารถใช้งานได้ดีทั้งในทะเล ชายหาด ในน้ำจืด และบนบก

น้ำยากำจัดคราบน้ำมัน Slickgone NS ยังผ่านการอนุญาตและการยอมรับในหลายประเทศทั้วโลก ให้สามารถใช้งานได้ในกรณีน้ำมันรั่วไหล รวมถึงประเทศไทยด้วยการใช้งานแบบเข้มข้น Type II/III (Undiluted Mode)น้ำยากำจัดคราบน้ำมัน Slickgone NS เป็นสารกำจัดคราบน้ำมันประเภทที่ II/III โดยมีอัตราส่วนการกำจัดคราบน้ำมัน 1 ส่วน Slickgone NS ต่อ 20 ส่วนน้ำมัน หรือ 1:20

การใช้งานแบบผสมน้ำ Type II (Water Dilutable Mode)น้ำยากำจัดคราบน้ำมัน Slickgone NS Concentrated สามารถใช้งานเป็นสารกำจัดคราบน้ำมันประเภทที่ II/III ได้ด้วย เช่นทำการผสม 1 ส่วน Slickgone NS ต่อ 9 ส่วนน้ำทะเล ซึ่งน้ำยาผสม 1 ลิตรจะกำจัดคราบน้ำมันได้ 2-3 ส่วน อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้น้ำยากำจัดคราบน้ำมัน Slickgone NS ผสมกับน้ำไว้ล่วงหน้าก่อนการใช้งานนานๆ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานลดลง

ตัวอย่างปริมาณการใช้งานกรณีมีคราบน้ำมันหนา 0.1 มม. มองเห็นเป็นสีเทา-ดำ ในพื้นที่ 100 x 100 เมตร ซึ่งเท่ากับปริมาณน้ำมัน 1,000 ลิตร ให้ใช้น้ำยากำจัดคราบน้ำมัน Slickgone NS 50 ลิตร*