โอนไว...ได้บุญ?

เมื่อความน่าสงสารถูกใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ และการทำบุญยุคนี้ก็ง่ายแค่ปลายนิ้ว การให้ด้วยใจจึงอาจกลายเป็นการโดนโกง!
กี่ครั้งที่เรื่องดราม่าเคล้าน้ำตาถูกนำมาใช้หากิน กลอุบายเรียกคะแนนสงสารที่บทสรุปคือการขอรับเงินบริจาคจนทำให้หลายคนเป็นเศรษฐีใหม่ในชั่วข้ามคืน แต่ก็มีคนอีกมากมายที่กลายเป็นคนถูกหลอก เพราะคำว่า ‘สงสาร’ และ ‘ใจบุญ’
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่ามกลางคนฉ้อฉลบนภาพลักษณ์ทุกข์ยาก ยังมีคนที่เดือดร้อนจริงๆ น่าสงสารจริงๆ และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ทว่าในเมื่อโลกโซเชียลกำลังคลุกเคล้าตัวจริงกับตัวปลอมเข้าด้วยกัน ก่อนจะหุนหันรีบโอนเงินบริจาค คงต้องถอยมาตั้งหลักกันให้ดี
- เมตตาธรรม ค้ำจุน ‘โลภ’ ?
เรื่องบาปเรื่องบุญแทรกซึมอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน บวกกับนิสัยใจดีและขี้สงสารของคนไทย (ส่วนมาก) ด้วยแล้ว เรื่องการบริจาคจึงเป็นวิธีทำบุญที่สะดวกที่สุด ซึ่งในทางพุทธศาสนา ‘จาคะ’ ในฆราวาสธรรม 4 หรือการให้นับเป็นบุญ และเป็นการลดอัตตาความเห็นแก่ตัว
พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ภิกษุจากวัดสร้อยทอง อธิบายว่าการให้ในทางพุทธเป็นการเชื่อมโยงกับคนอื่น ไม่ได้เป็นบุญเฉพาะตัวผู้ให้เท่านั้น แต่เกิดผลดีแก่ผู้รับด้วย ทว่าวิธีคิดแบบพุทธนี้เองที่ทำให้เกิดช่องโหว่
“คนไทยถูกปลูกฝังให้มีความเมตตาสงสาร เราถูกปลูกฝังเรื่องการให้ทาน เวลาเราเห็นใครที่ได้รับความเดือดร้อน ยิ่งมีโลกออนไลน์เห็นคนนั้นป่วย คนนี้ลำบาก เขาก็อยากจะช่วยเหลือ แต่พอมีเรื่องนี้คนพุทธจำนวนไม่น้อยก็ขาดการพิจารณาที่ถี่ถ้วน หมายถึงให้ทานก็ไม่คำนึงให้ดีก่อนว่าทานที่ตัวเองให้หรือการบริจาค จะมีผลตามวัตถุประสงค์ตามที่ตัวเองอยากทำทานหรือเปล่า บางทีเห็นเขาแชร์มาก็ไม่ตรวจสอบว่าจริงไหม มิจฉาชีพหรือเปล่า ก็บริจาคแล้ว โอนแล้ว การทำบุญให้ทานอย่างถูกต้อง จึงเป็นเรื่องการถูกหลอกไป”
เม็ดเงินหลักแสนไปจนถึงหลักล้านหลั่งไหลสู่บัญชีธนาคารของคนที่รับบริจาค จำนวนเงินมหาศาลอาจกำลังสะท้อนว่าคนไทยโหยหาการสร้างบุญจนขาดสติหรือไม่ ซึ่งพระมหาไพรวัลย์มองว่าคงไม่ถึงขั้นนั้น แต่น่าจะมาจากพื้นฐานนิสัยของคนไทย เพราะจะสังเกตได้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียเกือบทั้งหมดเป็นการบริจาคให้บุคคลธรรมดา หาใช่ทำบุญกับพระหรือวัดวาอารามแต่อย่างใด การช่วยเหลือด้วยกันของฆราวาสกับฆราวาสจึงไม่ได้แปลว่าทำเพื่อต้องการบุญ แต่เพื่อต้องการช่วยเหลือ
“ความน่าเห็นใจคือหลายคนเขาทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ เขาอยากช่วย บางทีก็ไม่ได้มากอะไรนะ 10 บาท 20 บาท 100 บาท หลายๆ กรณี ในความบริสุทธิ์ใจของเขาอาจไม่ได้มองไปถึงเรื่องบุญ เรื่องจะได้ผลตอบแทนอะไรด้วยซ้ำ”
ถ้าหากจะกล่าวกันในมุมของบุญและบาป พระมหาไพรวัลย์ บอกว่า การที่คนบริจาคนั่นคือบุญที่สำเร็จกับเขาแล้ว ส่วนทานนั้นจะไปไหนต่อก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ในกรณีที่ถูกหลอกลวง จากกุศลกรรมอาจพลิกเป็นอกุศลกรรมในทันที
“ตอนที่ทำก็เป็นกุศลนะ แต่พอทราบข่าวว่าถูกโกง ก็จะรู้สึกโกรธ รู้สึกเสียดายทรัพย์ รู้สึกไม่พอใจที่ถูกหลอก นี่ก็เป็นอกุศลแล้ว แต่ถามว่าคนที่เขาให้ทานไปนั้นจะเป็นบาปไหม ไม่เป็นบาปหรอก แต่พอมันเกิดอะไรที่เป็นความไม่สบายใจ ก็เป็นความเศร้าหมองของใจ”
- กลยุทธ์เรียกน้ำตา ดราม่ามาร์เก็ตติ้ง
แม้ความสงสารจะเป็นความรู้สึกพื้นฐานของคน แต่เมื่อนำทฤษฎีทางการตลาดมาจับ จะพบว่า กลวิธีของมิจฉาชีพสายดราม่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแต่อย่างใด
นักการตลาดอย่าง อาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย ถอดรหัสการตลาดของคนกลุ่มนี้ว่าโซเชียลมีเดียเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะทั้งการไลฟ์ การโพสต์ การแชร์ ทำให้ข้อมูลแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อตรงกับธรรมชาติคนไทยที่สงสาร ใจอ่อน และชอบทำบุญเป็นทุนเดิม เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ อย่างวัดที่มีเงินบริจาคเป็นล้านๆ คือประจักษ์พยานว่าคนไทยชอบทำบุญ
“พอมีเคสคนเดือดร้อน คนก็โอนเงินแบบที่เรียกว่า Crowd Donate คือคนละไม่มาก คนละร้อยสองร้อย รวมกันเป็นล้านๆ เลยนะ บางทีเป็นเคสจริงก็มี บางทีเป็นเคสไม่จริงก็มี เพราะฉะนั้นไอ้พวกไม่จริงก็เลยมาสวมรอยไง ผมก็ไม่ได้เห็นแย้งเรื่องพวกนี้ ผมเองก็บริจาค แต่ผมจะเลือกเคสที่เป็นจริง”
นอกจากนี้เทคนิคหลอกให้คนบริจาคยังอธิบายได้ด้วยการตลาด 4P หรือ Marketing Mix ที่ธุรกิจต่างๆ นำมาใช้กัน ประกอบด้วย Product, Price, Place และ Promotion
“ส่วนผสมทางการตลาดที่ว่า ผมยกตัวอย่างเช่น ในแง่ Product ต้องเป็นคนที่น่าสงสาร ต้องสร้างเรื่องราว ไม่ว่าจะต้องเป็นคนแก่ เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูก หรือคนที่ไม่สามารถทำมาหากินได้ ฯลฯ นี่คือการสร้างสตอรี่เพื่อชักจูงให้คนเห็นอกเห็นใจ สร้างจุดขาย (Selling Point)
ในแง่ Price คนพวกนี้ก็ใช้ Crowd Donate บริจาคคนละนิดคนละหน่อย แต่ถ้าสมมติให้คนละ 20 บาท แสนคนได้เงินสองล้านแล้วนะ แล้วแต่ละคนก็ไม่รู้แล้วว่าใครให้ไปแล้วบ้าง และสิ่งนี้มันเกิดขึ้นง่ายก็คือ Promotion สมัยก่อนเราสื่อสารกันแบบนี้ไม่ได้ แถมยังมีแอพพลิเคชั่นโอนเงิน โอนไม่เสียค่าธรรมเนียม พอสื่อที่ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเอาไปออกอากาศก็เท่ากับไปการันตีให้เคสปลอม”
แม้ในความจริงการหลอกให้โอนเงินบริจาคจะไม่ได้เกิดจากองค์ความรู้ด้านการตลาดอย่างตรงไปตรงมา แต่เพราะการตลาดฝังตัวในทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว ทำให้ถึงจะไม่รู้ทว่าพอดูคนอื่นทำแล้วได้เงินก็เอาเยี่ยงอย่าง เรียกได้ว่าเป็นวิธีหากินง่าย ซึ่งคนก็ไม่ได้สนใจจะฟ้องร้อง เพราะไม่คุ้มทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ
การที่คนคิดว่าแค่ไม่กี่สิบบาท แค่ไม่กี่ร้อย จะแตะหน้าจอไม่กี่ทีก็คิดว่าได้ช่วยเหลือคนอื่นแล้ว อาจารย์นักการตลาดอธิบายว่าทำให้เกิดนิเวศวิทยาของ Crowd Donate คือโซเชียลมีเดีย, แอพพลิเคชั่นโอนเงิน, สำนักข่าวที่เอาข่าวไปลงก็เท่ากับการันตีข้อมูล เป็นต้น
- โอนไว...ไม่ได้คืน
หลายคนอาจเข้าใจสับสนว่าการเรียกคะแนนสงสารจนมีคนโอนเงินให้นั้นเหมือนกับการฉ้อโกง แต่ในทางกฎหมายยังไม่ใช่เสียทีเดียว ใครที่โดนหลอกแล้ว หรือกลัวจะโดนหลอก ต้องทำความเข้าใจจุดนี้กันใหม่
ธรัช วรวงศ์รัตนา หัวหน้าสำนักงานกฎหมาย แนะนำว่าต้องดูที่เจตนาบวกกับข้อเท็จจริง ซึ่งการหลอกลวงก็มีหลายอย่าง เช่น แสดงข้อความเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริง ต้องการทรัพย์สิน ส่วนการรับบริจาคต้องดูในรายละเอียด
“ถามว่าเขาเป็นคนเรียกหรือเปล่า มีอยู่สองอย่างคือ เขาแค่ลงรูประบุว่าเขาเดือดร้อน แต่เขาไม่ได้ขอเงินบริจาค แล้วมีคนประสงค์จะบริจาคให้ อันนี้จะบอกว่าเขามีเจตนาตั้งแต่ต้นหรือเปล่าก็ตีความยาก แต่ถ้าเขาลงรูปลงไปพร้อมกับเลขบัญชีด้วย อย่างนี้ถือว่าเขาเรียกรับบริจาค
แต่ก็ต้องดูอีกว่าการรับบริจาคของเขาเกิดจากข้อเท็จจริงหรือเปล่า จนจริงไหม ป่วยจริงไหม เดือดร้อนจริงไหม เอาไปรักษาหมาจริงไหม ถ้าแบบนี้ถามว่าผิดฉ้อโกงหรือเปล่า ก็อาจจะไม่ผิดก็ได้”
จะเห็นว่าความคลุมเครือของทั้งกฎหมายและความโอนไวเพราะใจดียิ่งขยายช่องโหว่ให้มิจฉาชีพกระทำความผิดได้มากขึ้น นักกฎหมายย้ำเตือนเพื่อลดความเสี่ยงการตกเป็นเหยื่อเป็นข้อๆ ดังนี้
1.ก่อนจะโอนเงินบริจาค ต้องตรวจสอบให้ดี โดยอาจค้นหาชื่อของคนที่โพสต์ จากกูเกิ้ลหรือในเฟซบุ๊คเองเพื่อหาประวัติการฉ้อโกง
2.เมื่อเห็นเฟซบุ๊คอวตาร หรือเพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน ให้คิดไว้ก่อนว่าคือตัวปลอมหรือมิจฉาชีพ
ส่วนคนที่โดนหลอกเป็นที่เรียบร้อย ธรัชบอกว่าส่วนมากจะปล่อย เพราะเป็นแบบเดียวกับที่อาจารย์ธันยวัชร์บอกว่าส่วนมากจะเป็นการโอนคนละเล็กละน้อย
“ถ้าเราบริจาคร้อยสองร้อยเราจะไปร้องทุกข์ไหม แต่ถ้าโดนเป็นพันเป็นหมื่นก็ต้องมาคิด แค่คิดด้วยนะ อาจมีคนไปร้องทุกข์รายเดียว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำคดีแหละ แต่ความเสียหายมันน้อย ก็เลยกลายเป็นช่องว่างของมิจฉาชีพ จะเห็นบางประเภทที่เขียนว่าขอรับบริจาคแค่คนละ 10 บาท 20 บาท ก็พอ แล้วคนจะบริจาคเร็วมาก ถึงอัตราโทษจะเท่ากันคือหนึ่งกรรมต่อจำคุก 3 ปี แต่ถามว่าใครจะไปวุ่นวายกับเงินแค่นี้ การที่มิจฉาชีพขอจำกัดน้อยๆ แต่อาจจะทำให้ได้เยอะก็ได้
แต่ถ้าต้องการดำเนินการจริงๆ มีอยู่สองทางคือ ทางกฎหมายกับทางสังคม ในทางกฎหมายคือ
1.ต้องรวมกลุ่มกันให้มากที่สุด คนละไม่กี่บาท แต่รวมแล้วพฤติการอาจเป็นฉ้อโกงประชาชนก็ได้
2.ทางสังคม (ออนไลน์) เราต้องแจ้งไปที่เฟซบุ๊ค เพื่อให้เฟซบุ๊คทราบและจัดการกับ user นั้น
3.ทางสังคม ก็ต้องแบนคนนี้ออกจากสังคม
4.ร้องทุกข์ดำเนินคดี เพื่อให้ธนาคารเปิดให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบและระงับการใช้บัญชีนั้น”
แต่ถึงอย่างไร ในตัวบทกฎหมายก็ยังไม่ชัดเจนในเรื่องการหลอกให้บริจาค เหมือนกับที่นักกฎหมายได้กล่าวไปข้างต้น คือต้องดูที่เจตนาและบริบทอื่นๆ อีก และผลลัพธ์ของการโอนไว ถึงจะรู้ตัวแล้วว่าโดนโกง ก็ใช่ว่าจะได้เงินคืน
“เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันเร็วขึ้น เมื่ออะไรมันเร็ว เรามีหน้าที่ทำตัวให้ช้าลง โดยที่เราต้องใช้สติมากกว่าอารมณ์ เพราะในโลกโซเชียลเราไม่รู้หรอกว่ามันคือความจริงหรือเปล่า ให้เรามองมันเป็นหนังไว้ก่อน เมื่อเราดูหนังก็จะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เรายังไม่ต้องอินกับมันมาก แต่ถ้าเราตรวจสอบแล้วว่าเป็น Based on true story เราก็จะได้รู้แล้วว่าเราควรจะบริจาคให้เขาหรือเปล่า”
สุดท้ายพระมหาไพรวัลย์ บอกว่า พื้นฐานของการเป็นคนมีเมตตา มีความกรุณาต่อเพื่อนร่วมสังคม นับเป็นเรื่องที่ดี แต่การช่วยเหลือแม้แต่พระพุทธองค์ยังสอนให้อย่าวู่วาม
“พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญการเลือกแล้วจึงให้นะ หมายความว่าก่อนจะให้ทานหรือทำทาน ต้องเลือกให้ดีก่อน อย่างชั่งใจ หยั่งใจให้ดีก่อน อย่ามีความเมตตามากไป อย่าสงสารมากไป มันไม่เป็นผลดี อะไรที่มากไปมันไม่ดีหรอก ไม่ดีทั้งกับตัวเราที่ต้องทุกข์ใจ ไม่ดีกับคนที่เขาทำด้วยเพราะหมายความว่าเรากลายเป็นไปส่งเสริมให้เขาหลอกลวงต้มตุ๋นต่อไป”







