เรื่องที่คนไม่รู้! สถิติการเสียชีวิตจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยา สูงกว่า'COVID-19'

ผู้คนนับแสนๆ เสียชีวิตทุกปีจากแบคทีเรียที่ต่อต้านยาปฏิชีวนะ และถ้าเปรียบเทียบสถิติแล้ว ยังไม่มีคำเตือนใดๆ จากสังคมเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ซิเนอร์เจีย แอนิมอล องค์กรพิทักษ์สัตว์ระดับสากล ปฏิบัติงานในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของสัตว์ในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร รณรงค์ให้บริษัทผลิตอาหาร มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคมากขึ้น โดยใช้วัตถุดิบจากฟาร์มอุตสาหกรรมให้น้อยลง เพราะก่อให้เกิดผลเสียต่อชีวิตมนุษย์ ซึ่งอาจมากกว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในปัจจุบัน
เนื่องจากขณะนี้คนทั้งโลกอยู่ท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสที่รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ ซิเนอร์เจีย แอนิมอล แจ้งเตือนว่าการผลิตและการบริโภคเนื้อสัตว์อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการแพร่กระจายของโรคร้ายที่ส่งผลรุนแรงต่อมนุษยชาติได้ในอนาคตอันใกล้
“เชื้อไวรัส COVID-19 คร่าชีวิตผู้คนกว่าแสนรายแล้ว ส่งผลให้ทุกภาคส่วนทั่วโลกหยุดชะงัก เกิดการว่างงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ และมาลองคิดดูว่าเราทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันโรคระบาดที่จะส่งผลต่อชีวิตผู้คนมากมายในอนาคต เช่นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ เป็นต้น ” วิชญะภัทร์ ภิรมย์ศานต์ ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ประจำประเทศไทยของซิเนอร์เจีย แอนิมอล กล่าว
ล่าสุดมีรายงานจากสหประชาชาติระบุว่า ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตปีละ 700,000 คนจากการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมทั้งในมนุษย์และสัตว์ ทำให้เห็นได้ว่าอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยานั้นสูงกว่าการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ COVID-19 อยู่ถึง 5 เท่า
สถานการณ์จะยังคงแย่หนักลงไปเรื่อยๆ กลุ่มประสานงานระหว่างองค์การสหประชาชาติ (IACG)ว่า ด้วยการดื้อยาต้านจุลชีพคาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 จะมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยากว่า 10 ล้านคน มากกว่าผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเสียอีก
"ผู้คนนับแสนๆ คนเสียชีวิตทุกปีจากแบคทีเรียที่ต่อต้านยาปฏิชีวนะ แต่ไม่มีคำเตือนใดๆ จากสังคมเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย" วิชญะภัทร์ กล่าว
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกแห่งสหประชาชาติระบุว่าในบรรดาโรคทั้งหมดที่เกิดขึ้นในมนุษย์ 60 เปอร์เซ็นต์เป็นโรคที่เกิดจากสัตว์เป็นพาหะและเกือบ 75 เปอร์เซ็นต์ของยาปฏิชีวนะที่ใช้ทั่วโลก ถูกนำมาใช้กับสัตว์ซึ่งเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหาร โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า อัตราการใช้ยาต้านจุลชีพในการเลี้ยงสัตว์จะเพิ่มขึ้นถึง 67 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2573
ยาปฏิชีวนะเหล่านี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ยกตัวอย่างเช่นในประเทศไทยมีการเลี้ยงสุกรและไก่ในฟาร์มอุตสาหกรรมในสภาพที่แออัดและอยู่ในสภาพที่สุขาภิบาลไม่ดี
วิชญะภัทร์ อธิบายว่า “สัตว์นับล้าน ๆ ชีวิตถูกกักขังอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิตในฟาร์มอุตสาหกรรม และหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาต้องรับยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้ป่วย ที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพื่อเร่งให้พวกเขาโตเร็วๆ และป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโรค สัตว์เหล่านี้เกิดอาการดื้อยา เนื่องจากได้รับยาปฏิชีวนะปริมาณต่ำอย่างต่อเนื่องและเชื้อโรคดื้อยาจากเนื้อสัตว์ ก็ติดต่อสู่คนผ่านการบริโภค”
ตั้งแต่ปี 2549 สหภาพยุโรปได้สั่งห้ามการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ เช่นเดียวกับในประเทศไทย จากการศึกษาของกลุ่ม ReAct พบว่ากรมปศุสัตว์เริ่มควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับสัตว์แล้วตั้งแต่ปี 2546 แต่เกษตรกรยังคงไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเท่าที่ควร
การสัมภาษณ์จากกลุ่ม ReActพบว่า เกษตรกรยังคงผสมยาปฏิชีวนะลงไปในอาหารสัตว์เพื่อป้องกันโรคแทนที่ใช้ยาเพียง เพื่อรักษาสัตว์เมื่อสัตว์มีอาการป่วย
การศึกษาวิจัยอีกฉบับซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร 'Science' ในเดือนกันยายน 2562 เปิดเผยว่าแหล่งกำเนิดของเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะทั่วโลกนั้นเกิดขึ้นจริงแล้ว โดยโซนหลักที่เป็นอันตรายนั้นอยู่ไม่ห่างจากประเทศไทย เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน, และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงในเวียดนาม ซึ่งในขณะนี้มีกำลังมีการก่อตัวเกิดขึ้นอีกใน เคนยา โมรอคโค อุรุกวัย บราซิลตอนใต้ อินเดียตอนกลาง และตอนใต้ของจีน
การวิจัยพบว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในปริมาณสูง ทำให้ฟาร์มปศุสัตว์มีความหนาแน่นมากขึ้นไปด้วย
วิชญะภัทร์ กล่าวว่า นี่อาจทำให้เกิดวิกฤตการสาธารณสุขได้ เนื่องจากภูมิภาคเหล่านี้มีทรัพยากรไม่เพียงพอในการรับมือกับการระบาด
“เราทุกคนร่วมกันสร้างโลกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับมวลมนุษยชาติและสุขภาพของมนุษย์ได้ จึงขอเชิญชวนให้มาช่วยกัน”







