โมเดลเพื่อเด็กไทย ลด 'บูลลี่' ในโรงเรียน

โมเดลเพื่อเด็กไทย ลด 'บูลลี่' ในโรงเรียน

เมื่อการล้อเล่นขำๆ ไม่ได้จบลงแบบขำๆ โมเดลจริยธรรมจึงเสมือนตาข่ายดักฝันร้าย แก้ปัญหาใหญ่ลดการ "บูลลี่" ในรั้วโรงเรียน

ข่าวร้ายของเด็กชายในชุดนักเรียนที่เขียนจดหมายสั่งลาและจบชีวิตตัวเองลง เพราะถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมห้อง แพร่สะพัดในโซเชียลสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่การบูลลี่ปะทุขึ้นท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19)

ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2562 ความรุนแรงของการบูลลี่ก็เกิดขึ้นกับเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ถูกกระทำจนเกินรับไหว ขโมยปืนพ่อเพื่อมายิงแก้แค้นเพื่อนคนนั้น และอีกหลายเหตุการณ์น่าสลดที่เด็กไทยต้องเผชิญ เราไม่ได้ต้องการฉายภาพความเจ็บปวดซ้ำๆ ให้สังคมเสพดราม่า แต่ความเจ็บปวดเหล่านี้มันย้ำให้เห็นว่า ปัญหาการบูลลี่กันในวัยเด็กไม่ใช่เรื่องเล็กและปกติอีกต่อไป

บูลลี่ (Bully) หรือการกลั่นแกล้ง เป็นปัญหาที่มีมายาวนานและยังแก้ไม่ตกในสังคมไทย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีมีอิทธิพลในการใช้ชีวิตของเราประหนึ่งอวัยวะชิ้นที่ 33 ของมนุษย์ พร้อมๆ กับคำว่า Cyber Bully หรือ 'การรังแกบนโลกออนไลน์' ซึ่งเป็นหนึ่งในการบูลลี่ที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสสังคม

ประกอบกับข้อมูลจากงานวิจัยของกรมสุขภาพจิตที่พบว่า ในปี 2561 มีจำนวนนักเรียนไทยโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนสูงถึง 600,000 คน หรือคิดเป็นอัตราส่วน 40 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่น โดยที่ระดับความรุนแรงของพฤติกรรมการบูลลี่และปัญหาในสถานศึกษาดูเหมือนว่าจะอัพเลเวลความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

บูลลี่...ฝันร้ายในวัยเด็ก

  • โมเดลแก้พฤติกรรมบูลลี่

บูลลี่เป็นปัญหาใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของความเครียดและสร้างความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ให้กับเด็กคนหนึ่งได้ สิ่งที่น่ากลัวคือความเก็บกดที่เด็กไม่สามารถระบายออกมาหรือไม่ได้รับทางออกที่เหมาะสม

“เด็กที่ถูกบูลลี่จะขาดความมั่นใจ ไม่อยากไปโรงเรียน อาจจะกลายเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวและเลือกแสดงออกอย่างรุนแรงเพื่อระบาย คนที่จะแก้ปัญหาให้เด็กได้ดีที่สุดไม่ใช่โรงเรียนแต่เป็นครอบครัว สถาบันครอบครัวต้องดีที่สุดสำหรับเด็ก แต่ว่ามันก็เลือกไม่ได้ เด็กทุกคนไม่ได้เกิดมาในสถาพครอบครัวที่พร้อม” ดรุณี บุญวงค์ หรือ 'ครูดอกโศก' ของเด็กๆ โรงเรียนวัดป่าประดู่ จ.ระยอง พูดถึงผลกระทบการบูลลี่ 

จากประสบการณ์การเป็นครู เธอเห็นว่าแม้การกลั่นแกล้งกันของเด็กๆ จะเป็นเรื่องที่มีมาตลอด แต่กลับมีผลต่อความรู้สึกส่งต่อถึงพฤติกรรมที่ไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่หลายคนคิด โดยเฉพาะในปัจจุบันเมื่อชีวิตของเด็กผูกติดกับโลกโซเชียลมาก จากผลการสำรวจเมื่อปี 2561 พบว่ามีการใช้อินเตอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 9 ชั่วโมง และใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ยวันละ 3 ชั่วโมง

ยกตัวอย่างโรงเรียนวัดป่าประดู่ที่ครูดอกโศกเป็นผู้ผุดไอเดีย แก้ปัญหาการบูลลี่ที่เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีสร้างความร้าวฉานระหว่างกัน จากคำบอกเล่าของคุณครูแม้ปัญหาของโรงเรียนแห่งนี้จะเป็นเพียงการทะเลาะกันในกลุ่มไลน์ห้องด้วยถ้อยคำรุนแรงและหยาบคาย แต่นั่นคือสัญญาณเตือนที่ผู้เป็นครูรับรู้ได้ว่าไม่ควรปล่อยผ่าน

เมื่อบรรยากาศของวัยใสเริ่มขุ่นมัว การมานั่งเปิดใจคุยกันจึงเป็นทางออกขั้นแรกสุดคลาสสิกที่ใช้ได้กับทุกปัญหา จากนั้นก็ใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้ ทฤษฎีเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้นใน 21 วัน แนวคิดจากหนังสือ Psycho-Cybernatics ของ Dr.Maxwell Maitz เธอขยายความว่า จะแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน จากนั้นให้แต่ละกลุ่มวิเคราะห์ปัญหาการทะเลาะในกลุ่มไลน์ของห้อง โดยต้องหาสาเหตุ แล้วดูว่าใครได้รับผลกระทบบ้าง และได้รับผลกระทบอย่างไร จากนั้นก็หาทางแก้ไขด้วยตัวเอง โดยมีครูดอกโศกให้คำแนะนำอยู่ห่างๆ

 

ดรุณี บุญวงค์ หรือครูดอกโศก โรงเรียนวัดป่าประดู่ จ.ระยอง

ดรุณี บุญวงค์ หรือครูดอกโศก โรงเรียนวัดป่าประดู่ จ.ระยอง

 

“เด็กๆ ก็ได้ข้อสรุปว่าที่เขาทะเลาะกันเพราะใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและหยายคาย ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบก็คือตัวเด็กเอง ดังนั้นวิธีการป้องกันคือการระมัดระวังคำพูดในกลุ่มไลน์ และใช้โซเชียลอย่างมีมารยาท ซึ่งให้เวลาช่วงปิดภาคเรียนไปปรับปรุงตัว”

"เราจะใช้โซเชียลกับเด็ก มีกลุ่มไลน์และเป็นเพื่อนกับเด็กในเฟซบุ๊ค เพื่อที่จะให้เขารู้สึกว่าเขากับเราไม่ใช่คนละเจนกัน แต่เราเป็นทั้งครูและเพื่อนให้เขาได้ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและไว้ใจ พอมีปัญหาเขาก็จะมาปรึกษา พยายามทำให้เขานึกถึงเราเวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ” นี่คือข้อดีของโซเชียลที่ช่วยให้ครูดอกโศกเข้าใจและเข้าถึงปัญหาของเด็กๆ

หากปัญหาดูท่าจะสาหัสกว่าที่คิด ทางออกขั้นต่อไปคือต้องคุยกับผู้ปกครองให้รับรู้ว่าลูกหลานของคุณกำลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่ แต่ครูดอกโศกบอกว่าจะไม่คุยต่อหน้าเด็กหรือคุยพร้อมๆ กัน เพราะบางเรื่องเด็กก็ไม่ได้อยากให้ผู้ปกครองรับรู้ และต้องย้ำกับผู้ปกครองว่าอย่าเพิ่งไปต่อว่าลูก เราอยากให้เขาค่อยๆ สังเกตลูกตัวเองและดูพฤติกรรมในส่วนของที่บ้าน และเราก็ดูในส่วนที่อยู่โรงเรียน จริงๆ แล้วบ้านกับโรงเรียนจะต้องร่วมมือกันในการแก้ปัญหาทุกๆ เรื่อง ไม่เพียงเฉพาะบูลลี่

 

  • สังคมอุดมบูลลี่ของเด็กไทย

พฤติกรรมการบูลลี่ส่วนใหญ่ที่เด็กไทยเจอ มีทั้งร่างกายและคำพูด ไม่ว่าจะเป็นตบหัว พูดเหยียดเรื่องเพศ รูปร่างหน้าตา ล้อปมด้อยเป็นเรื่องสนุกปาก กลั่นแกล้งบนออนไลน์ให้อับอาย ซึ่งคนที่บูลลี่มาจากการที่เขาไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่นและคนที่ถูกบูลลี่โดยเฉพาะเด็กไทยจะมีลักษณะไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง สิ่งที่ครูดรุณีย้ำกับเด็กๆ เสมอคือ ทุกคนมีความเก่งเป็นของตัวเอง มีความสวยในแบบฉบับของเราที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร เราเป็นตัวของตัวเองและสร้างความภูมิในให้ตัวเองในแบบของเราได้ เพราะสังคมนี้ไม่ได้มีแค่อาชีพหมออย่างเดียว เรายังต้องมีนักดนตรี มีนักกีฬา ยังต้องมีช่างซ่อมรถ ทุกคนมีความสำคัญในวงจรสังคมหมด ทุกคนล้วนมีหน้าที่ในสังคมที่แตกต่าง

“เรียนไม่เก่ง เป็นเรื่องที่เด็กโดนบูลลี่จากครอบครัวเยอะมาก พ่อแม่ไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนดีก่อน แต่สอนให้เก่งก่อน ลูกฉันต้องได้เกรดสูงๆ โดยที่ไม่ได้สนใจว่าเด็กต้องเจอกับอะไรบ้าง และมักกดดันด้วยวิธีเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น ซึ่งเด็กมีความเป็นตัวของตัวเอง มันก็เหมือนงานศิลปะสักชิ้น มันไม่มีวันเหมือนใคร หรือเป็นงานเฮนเมดที่มีชิ้นเดียวในโลก”

หรือแม้แต่ตัวคุณครูเองก็ยังบูลลี่เด็ก ด้วยระบบการคัดกรองบุคลากรเข้ามาเป็นครู มาสอนเด็กๆ ที่เป็นอนาคตของชาติ ไม่ได้มีการคัดกรองละเอียดมากพอ การสอบหรือการฝึกสอนวัดเพียงความสามารถในการสอนและความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา แต่บอกไม่ได้ว่าเขาจะเป็นครูที่ดีได้

"คนเป็นครูจะต้องมีจิตวิทยาที่สูง ถ้าจะแก้กันจริงๆ ในระดับประเทศ โรงเรียนควรจะมีนักจิตวิทยาในการคัดกรอง เราอาจจะเจอปัญหาครูที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก บูลลี่เด็กน้อยลง"

ครูดอกโศกย้ำว่า ครูคือปราการด่านสำคัญในการสร้างคนที่เดิมพันด้วยอนาคตของเด็กคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นระบบคัดบุคคลากรต้องตอบโจทย์ว่าเขาจะเป็นครูที่ดีได้ "และจะต้องเป็นคนเก่งด้วยนะ คนที่สอนเก่งนะ ไม่ใช่คนที่เก่ง เพราะว่าคนเก่งสอนไม่เป็นเยอะค่ะ ครูต้องศิลปะในการถ่ายทอดความรู้”

 

ประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

ประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

 

ในส่วนของภาครัฐก็เห็นถึงวิกฤตของปัญหานี้และร่วมหาแนวทางแก้ไขมาโดยตลอด แต่ทั้งนี้เหตุกระตุ้นหลักๆ ที่ทำให้คนๆ หนึ่งลุกขึ้นมากลั่นแกล้งผู้อื่นนั้น ประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อธิบายว่า ส่วนหนึ่งอาจเคยถูกกลั่นแกล้งมาก่อน จึงอยากแก้แค้นโดยกระทำกับคนอื่นหรือคนที่เคยกระทำกับเขาให้ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดบ้าง การกลั่นแกล้งจึงเป็นส่วนหนึ่งเป็นพฤติกรรมสร้างตัวเองให้เหนือคนอื่น เหนือคนที่โดดเด่นกว่า เหนือคนที่อ่อนแอกว่า เพื่อสร้างเกราะป้องให้ตัวเอง

นอกจากเด็กบูลลี่กันเองแล้ว ยังมีครูที่บูลลี่เด็กอีกทอดหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยพูดหรือการเลือกปฏิบัติ แต่ที่ร้ายแรงเกินกว่าจะรับได้คือ การกระทำที่เรียกว่า 'ล่วงละเมิดทางเพศ' ปลัดกระทรวงศึกษาธิการบอกว่า ทางกระทรวงฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจออกมาตรการเข้มงวดขึ้น ในการสืบหาความจริงและบทลงโทษที่ต้องทำให้เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้ครูที่กระทำผิดได้ใจ

ควบคู่ไปกับการเยียวยาผู้ถูกกระทำ หากเด็กไม่อยากจะเรียนที่เดิมก็พร้อมที่จะหาที่เรียนใหม่ให้ หรือถ้าเด็กไม่อยากเรียนแล้วก็ต้องหาทางออกร่วมกันที่ไม่ทำให้ต้องออกกลางคัน เพราะการศึกษาสร้างคนให้เป็นคนได้ สร้างคนให้มีความรู้ความสามารถที่จะประกอบอาชีพ สามารถที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างเคารพกัน กระทรวงศึกษาเป็นกระทรวงหลักในการพัฒนาคนให้สมบูรณ์แบบ และสามารถพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ดีได้

  • สอนจริยธรรม ที่ไม่ใช่ท่องจำ

ในหลักสูตรใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ระบุไว้ในรายวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จะต้องสอนเรื่องจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งต้องเรียนกันตั้งแต่ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 คุณครูจึงต้องค่อยๆ บ่มเพาะเรื่องเหล่านี้ให้เด็ก ที่ไม่ใช่การเรียนรู้แบบท่องจำเพื่อสอบ แต่ต้องเข้าใจและนำไปปรับใช้ได้จริง 

“จริยธรรมในระบบการศึกษาไทยส่วนใหญ่มีไว้ในบทเรียนหรือสอนแบบท่องจำแต่เราไม่สอนให้นำมาใช้ ไม่สอนให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สอนให้เข้าใจแล้วทำ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในการใช้ชีวิต เป็นงานส่วนหนึ่งของครูที่ปรึกษา และเป็นงานหลักของคนเป็นครูด้วย เพียงแต่ว่าเราเปลี่ยนรูปแบบของจริยธรรมที่เราเคยสอนทั่วๆ ไป อย่างการมาโรงเรียนให้ตรงเวลา แต่งตัวให้เรียบร้อย มารยาททางสังคมต้องมี มาเป็นจริยธรรมในการใช้ในโซเชียลมีเดียแค่นั้นเอง” ครูดอกโศก อธิบาย 

 

บูลลี่...ฝันร้ายในวัยเด็ก 2

 

เช่นเดียวกับปลัดกระทรวงศึกษาธิการที่มองว่า โซเชียลทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เด็กจึงรับหน้าที่หนักในการต้องไตร่ตรองและแยกแยะว่า สิ่งนั้นควรหรือไม่ควรทำตามกันแน่ ทำไปแล้วจะเกิดผลกระทบต่อใครบ้าง จึงต้องสอนให้เด็กรู้จักใช้เหตุและผล และสร้างความเข้มแข็งในการใช้โซเชียลอย่างมีจริยธรรม 

สถานศึกษาเองต้องให้ความสำคัญกับการที่เด็กเขาบูลลี่กัน ต้องสอนให้เขารู้จักเหตุและผล รู้จักกล้าแสดงออกในสิ่งที่เขามีความมั่นใจ หากความมั่นใจเต็มร้อย ใครจะกลั่นแกล้งอย่างไรก็จะไม่เกิดความกังวล กิจกรรมหนึ่งที่สอนเขาได้ดีก็คือ กีฬา การแข่งขันจะสอนให้มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม

อีกกิจกรรมที่ขาดไม่ได้เลยก็คือลูกเสือ ที่จะเข้าไปเสริมให้เด็กได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ปลูกฝังความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญคือความสามัคคี การได้ทำงานด้วยกันจะค่อยๆ คลายปมการบูลลี่กันให้น้อยลงได้ นี่คือสิ่งที่ทางกระทรวงศึกษาให้ความสำคัญไม่ต่างจากการให้โอกาสทางการศึกษา เพราะการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนบานปลายจนถึงชีวิตก็มีให้เห็น

ปัญหานี้ยังคงเป็นเรื่องแก้ไม่ตกและไม่มีทีท่าว่าจะปิดฉากได้อย่างสมบูรณ์ แต่สามารถทำให้เบาบางได้ “ถ้าเราปลูกฝังให้เด็กรู้จักจริยธรรมในการใช้อินเตอร์เน็ต เข้าใจ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นี่คือสิ่งที่สำคัญต่อไปในอนาคต อีกส่วนหนึ่งก็คือต้องให้เขารู้จักให้เกียรติคนอื่นและรู้จักให้ความภาคภูมิใจในตัวเองด้วย” ครูดอกโศก ทิ้งท้าย