ยะลาโมเดล เปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยว เปิดทางสู่สันติสุข

เปลี่ยนภาพไฟใต้ให้เป็นมนต์เสน่ห์ เปลี่ยนความอึมครึมให้สว่างไสวไปด้วยรอยยิ้ม
.........................
สายหมอกเคลื่อนตัวผ่านร่องหุบเขา แสงทองเริ่มจับขอบฟ้าก่อนพระอาทิตย์จะออกมาทักทายนักท่องเที่ยว...
ทิวทัศน์แบบนี้ไม่ได้มีเฉพาะในภาคเหนือเท่านั้น แต่ที่ปลายด้ามขวาน วิวพาโนรามากับความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าสามารถหาชมได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง หรือแหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่ในอำเภอปะแต จังหวัดยะลา
มากกว่านั้นหากเป็นสายวัฒนธรรม จะไปไหว้พระวัดหน้าถ้ำ ชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ หรือย้อนบรรยากาศการคล้องช้างในตำบลลำพระยา ชมการแสดงสีละที่อำเภอรามันก็น่าสนใจ แต่ที่พลาดไม่ได้คือการชิมผลไม้จากสวนที่มีให้เลือกมากมายหลายแห่ง แล้วมาเก็บภาพสตรีทอาร์ตสุดฮิปในอำเภอเมือง ก่อนจะไปอิ่มอร่อยกับอาหารทะเลสดๆ รสชาติเกินราคา
และถ้าใครกำลังคิดว่า สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เต็มไปด้วยอันตราย ต่อไปนี้คือโครงการดีๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนภาพไฟใต้ให้เป็นมนต์เสน่ห์ ลบบาดแผลของความรุนแรงด้วยรอยยิ้ม เปลี่ยนความอึมครึมให้เป็นความสว่างไสวจากการท่องเที่ยวโดยชุมชน
ต้นทางที่อัยเยอร์เวง
แม้ภาพที่ปรากฎในสื่อจะทำให้หลายคนกังวล แต่ใช่ว่าที่ผ่านมาจังหวัดชายแดนใต้จะร้างไร้ผู้คน เฉพาะจังหวัดยะลาในปี 2561 มีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 3,500 ล้านบาท ขณะที่ปี 2562 เพียง 8 เดือน รายได้แตะ 4,000 ล้านบาทแล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2559 เฉลี่ย 7-8 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
“แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจค่อนข้างที่จะดี พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ” วรเชษฐ พรมโอภาษ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ให้ข้อมูล พร้อมชี้ว่าสถานการณ์ต่างๆ มีแนวโน้้มที่ดีขึ้น สถิติการก่อเหตุลดลง พี่น้องประชาชนเบื่อกับเหตุความรุนแรงและให้ความร่วมมือกับทางราชการในการดูแลชุมชนให้ปลอดภัย ขณะเดียวกันทางจังหวัดเองก็ได้นำยุทธศาสตร์พระราชทาน ‘เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา’ มาปรับใช้ พร้อมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาขับเคลื่อน เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
“เรามีการพัฒนาด้านต่างๆ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการท่องเที่ยว การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ขณะเดียวกันเราก็มีการจัดอีเวนท์บ่อยขึ้นตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา โดยส่วนใหญ่จะจัดในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอเบตงเป็นหลักก่อน เนื่องจากมีความพร้อม มีศักยภาพที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ”
การตอบรับจากนักท่องเที่ยวไม่เพียงแปรเปลี่ยนเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ รองผู้ว่าฯยะลายกตัวอย่างพื้นที่อัยเยอร์เวง อำเภอเบตง ที่ปัจจุบันอยู่ในท็อปลิสต์ของการท่องเที่ยวจังหวัดยะลา ว่าช่วยเปลี่ยนพื้นที่สีแดงให้กลายเป็นสีเขียวได้
“เดิมทีเดียวก่อนปี 2559 พื้นที่อ้ยเยอร์เวงเป็นพื้นที่ที่ต้องดูแลและเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะมีปัญหาด้านความมั่นคง พอหลังจากเราส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้กำนันผู้ใหญ่บ้าน เด็กเยาวชนในชุมชนเข้ามาร่วม โดยรัฐเป็นคนสนับสนุน วางระบบให้ อบรมให้แล้วเขาจัดการกันเอง ทั้งเรื่องการเปิดโฮมสเตย์ การรับส่งนักท่องเที่ยวไปชมทะเลหมอกอะไรต่างๆ เหตุการณ์ความรุนแรงไม่มีเลยนะ
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างว่าถ้าชุมชนมีความเข้มแข็ง ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลท้องถิ่น เขาก็ต้องพยายามที่จะดูแลให้เกิดความเรียบร้อย เพราะว่าถ้าเกิดความรุนแรงขึ้นก็กระทบต่อวิถีชีวิต ต่อความเป็นอยู่ ต่อการทำมาหากินของเขาเอง ถือเป็นแบบอย่างที่ดี ในปี 2563 ทั้งสกายวอล์ค ทั้งสนามบินเบตงเสร็จ ก็คิดว่าการท่องเที่ยวน่าจะขยายตัวต่อไป”
อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้การท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่แค่สองอำเภอหลักจนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ แนวทางในการกระจายนักท่องเที่ยวไปยังอำเภออื่นๆ และสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวที่ชุมชนมีส่วนร่วม จึงเป็นโจทย์วิจัยที่ทางสำนักงานคณะกรรมการวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับจังหวัดยะลา ร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ โดยไม่ทำลายต้นทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
“ตอนนี้ทางจังหวัดเองก็พยายามให้แต่ละอำเภอเข้าไปพัฒนาการท่องเที่ยวว่าจะเชื่อมโยงกับอำเภอเบตงหรืออำเภอเมืองยะลาอย่างไร ระยะยาวเราต้องค้นหาและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ให้กลับมามีชีวิตชีวา ให้คนมาท่องเที่ยวมากขึ้น ก็พยายามที่จะหาจุดเด่นจุดแข็งของแต่ละอำเภอ คิดว่าในปี 2563-64 เราจะพยายามขับเคลื่อน จากเบตงและจากอำเภอเมืองขยับไปอำเภออื่นๆ เพื่อที่จะให้รายได้กระจายไปทุกอำเภอ” รองผู้ว่าฯยะลา กล่าวถึงแผนงานด้านการท่องเที่ยว
ต้นแบบท่องเที่ยวโดยชุมชน
ยะลา จังหวัดใต้สุดของประเทศไทย แม้จะไม่มีทะเล แต่ก็มีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวมากมาย ภายใต้โครงการวิจัย ‘แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนต้นแบบจังหวัดยะลา’ ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายไว้ 4 แห่ง คือ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา แหล่งชุมชนโบราณตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันยังมีร่องรอยของศาสนสถาน และเป็นที่ตั้งของวัดคูหาภิมุข หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘วัดหน้าถ้ำ’ วัดเก่าแก่ของที่นี่
อีกหนึ่งพื้นที่ในเขตอำเภอเมือง ตำบลลำพะยา ในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่เจ้าพระยาปัตตานีใช้เป็นที่พักผ่อนและคล้องช้าง มีเรือนพักบริเวณหมู่บ้านทำเนียบ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดสิริปุณณาราม (วัดลำพะยา) ตำบลปะแต อำเภอยะหา มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ให้ได้ศึกษาเรียนรู้ เช่น เรือนฝรั่ง 100 ปี เหมืองประวัติศาสตร์ หลักเขตประเทศสยาม ซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย นอกจากนั้นยังมีจุดชมทะเลหมอกที่สวยงาม
สุดท้ายที่อำเภอรามัน ปักหมุดที่ตำบลอาซ่อง ชุมชนมุสลิมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ปัจจุบันยังเหลือร่องรอยโบราณสถาน อย่างกูโบร์อายุหลายร้อยปี ท่าเรือเก่า การแสดงและการละเล่นที่ชมยาก เช่น สีลัต บูงอซีเระ มีงานหัตถกรรมจักสานต่างๆ การทำกรงนกด้วยเขาควาย กุญแจรูปกริช กาน้ำจากกะลามะพร้าว นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม ได้แก่ พรุโต๊ะแนแว
“พื้นที่ทั้งหมดจะอยู่ใกล้อำเภอเมือง ไปกลับวันเดียวได้ โดยการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจะอยู่ที่อาซ่อง ของไทยพุทธมีที่หน้าถ้ำ อีกสองชุมชน ปะแตและลำพระยาเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ ผลไม้หลากหลาย มีทุเรียนที่ขึ้นชื่อ” ตูแวคอลีเย๊าะ กาแบ หนึ่งในทีมวิจัยท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดยะลากล่าว พร้อมแสดงเห็นว่านอกจากสร้างงานสร้างรายได้ การท่องเที่ยวจะช่วยสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไป
“เราจะเห็นว่าแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม แม้แต่วัฒนธรรมของชาวไทยพุทธ แต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกัน ส่วนมุสลิมก็จะมีวัฒนธรรมตามศาสนา ตามประเพณีที่เกี่ยวโยงกับการละเล่น ซึ่งมันจะค่อยๆ หายไป อย่างที่อาซ่องก็จะมีปันจักสีลัต ซึ่งถ้าไม่มีการท่องเที่ยวเข้ามา ไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ก็จะค่อยๆ หายไป”
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ได้เกิดผลกระทบในด้านลบต่อชุมชนท้องถิ่นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในหลายพื้นที่ ตูแวคอลีเย๊าะบอกว่าสิ่งแรกที่ทีมวิจัยต้องทำ คือการเข้าไปทำความเข้าใจกับชุมชน “ตอนนี้สำคัญที่สุดคือการเตรียมคนในพื้นที่ สร้างความเข้าใจกับคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย”
เธอเล่าบรรยากาศให้ฟังว่า ตอนเข้าไปในชุมชนใหม่ๆ ชาวบ้านไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองจะจัดการท่องเที่ยวได้ พยายามหาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษ โดยมองข้ามวิถีชีวิตและของดีที่อยู่ใกล้ตัวไป “ทีนี้พอคุยๆ ไปเขาจะเริ่มเห็นต้นทุนว่ามันไม่ใช่แค่นั้น ความเชื่อ ประเพณี วิถีชีวิต อาหารการกิน ขนม ผลไม้ แม้แต่เรื่องภูมิปัญญา การรักษา ซึ่งไม่เคยเห็นที่อื่น ก็เป็นการท่องเที่ยวได้”
บนหลักคิดของการท่องเที่ยวโดยชุมชน กระบวนการมีส่วนร่วมถือเป็นหัวใจสำคัญ ชุมชนต้องออกแบบการท่องเที่ยวบนฐานทรัพยากรและต้นทุนทางสังคมของตนเอง รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งตูแวคอลีเย๊าะมองว่าจะมีส่วนช่วยลดความรุนแรงได้ทางหนึ่ง
“ถ้าชุมชนเขาอยากจะเปิดให้คนภายนอกเข้ามา การจัดการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความปลอดภัย การท่องเที่ยวจะเป็นหนึ่งในกระบวนการที่เชื่อมร้อยให้คนมานั่งคุยกัน มันก็จะเกิดการป้องกันทั้งตัวเขาเองและนักท่องเที่ยว ถ้านักท่องเที่ยวมาเราก็ต้องการันตีในเรื่องความปลอดภัยได้ ทีนี้จะทำอย่างไร แต่ละชุมชนต้องมาช่วยกันดูแลตรงนี้ด้วย”
มากไปกว่านั้น ในฐานะเจ้าของบ้าน เธอหวังว่าการท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความหวาดระแวงและสร้างความเข้าใจระหว่างกัน ทั้งกับคนในพื้นที่เอง และคนต่างถิ่นที่เดินทางเข้ามา
“สามจังหวัดชายแดนใต้เรามีดีเยอะมากกว่าที่รู้จากสื่อต่างๆ นะคะ อยากให้มาค้นพบด้วยตนเอง”
ต้นธารสู่สันติสุข
การท่องเที่ยวชุมชนอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปลายทางที่วาดไว้ คือ...สันติสุข
“พื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องยอมรับว่าบางพื้นที่อาจจะมีจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม แต่ว่าไม่ใช่ทุกพื้นที่ทั้งอำเภอทั้งจังหวัดจะมีความรุนแรงทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราก็จะไปพัฒนาในโซนที่มีความปลอดภัย โซนไหนที่่เขาสบายใจ ที่จริงบางโซนปลอดภัยแล้ว แต่นักท่องเที่ยวไปอาจรู้สึกว้าเหว่ เราก็ต้องกำหนดเป็นพื้นที่ด้วยว่าสามารถดูแลนักท่องเที่ยวได้ ตั้งแต่การเดินทาง การท่่องเที่ยวอย่างปลอดภัย” รองผู้ว่าฯยะลา เน้นว่าคีย์เวิร์ดสำคัญของความร่วมมือระหว่างจังหวัดกับสกสว.ในครั้งนี้ คือ ‘ความยั่งยืน’
“เราก็ต้องไปคุยกับพื้นที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วม ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่ยั่งยืน เมื่อมีการท่องเที่ยวแล้ว คนในชุมชนต้องได้ประโยชน์ แล้วเราต้องดูเรื่องของสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย เรื่องการจัดการ เรื่องขยะ เรื่องอะไรต่างๆ”
สำหรับรูปธรรมของการมีส่วนร่วมนี้ ผศ.ดร.ชูพักตร์ สุทธิสา ผู้อำนวยการภารกิจการจัดทำแผนบูรณาการวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อชุมชนและพื้นที่ สกสว. อธิบายเพิ่มเติมว่าอยู่ในกระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่น ที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านเป็นผู้วิจัยด้วยตนเอง
“เครื่องมือที่เราใช้ก็คือ การสร้างกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่เอาเงินลงไปให้แล้วก็จัดการท่องเที่ยว แต่ว่าชุมชนจะต้องเรียนรู้ศักยภาพของตนเอง เรียนรู้ทุนที่มีอยู่ในชุมชน แล้วนำมาสู่การบริหารจัดการท่องเที่ยว”
ทั้งนี้ โครงการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบจังหวัดยะลา เป้าหมายสำคัญคือการค้นหาศักยภาพของพื้นที่่และพัฒนากลไกกลุ่มชุมชนในการบริหารจัดการ โดย 4 ชุมชนต้นแบบจะสร้างเส้นทางท่องเที่ยว แล้วต่อยอดสู่ระบบตลาดหรือผู้บริโภค
“กลไกนี้จะเป็นกลไกในการหมุนและช่วยในการบริหารจัดการท่องเที่ยว นั่นหมายความว่าเราต้องสร้างแกนนำในชุมชน แกนนำเครือข่าย แล้วก็นำความรู้เข้าไปเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราคาดหวังว่าในการทำชุมชนต้นแบบนี้จะต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์และจัดการทุนในชุมชน การอยู่ร่วมกันภายใต้วัฒนธรรมชุมชน และการสื่อความหมายถึงความปลอดภัยของพื้นที่ ซึ่งอันนี้จะสำคัญมาก”
ผศ.ดร.ชูพักตร์ ย้ำว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา การจัดการรูปแบบนี้ไม่ใช่ ‘ท่องเที่ยวเพื่อท่องเที่ยว’ ไม่ใช่ท่องเที่ยวเพื่อเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นการท่องเที่ยวเพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและสังคมได้
การท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีจังหวัดยะลาเป็นพื้นที่ต้นแบบครั้งนี้จึงไม่ใช่การหว่านโปรยงบประมาณ เพื่อให้คนเดินทางไปกินไปเที่ยวในพื้นที่สุ่มเสี่ยง แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยเสริมพลังคนในท้องถิ่นให้สามารถเดินหน้าสู่สันติสุขได้อย่างมั่นใจ







