Together Fight Diabetes ชวนคนไทยเปลี่ยน Mind Set พิชิต “เบาหวาน”
ในระดับโลก “เบาหวาน” เป็นอีกหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกมากที่สุด
เช่นเดียวกันกับประเทศไทย ที่วันนี้เบาหวานยังกลายเป็น “ของขม” ที่คนไทยต้องแบกรับชนิดหวานอมขมกลืน
เพราะปัจจุบันพบคนไทยเป็นเบาหวานพุ่งสูงแตะ 4.8 ล้านคนแล้ว ทั้งมีการคาดการณ์ว่าความชุกของโรคเบาหวานจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 5.3 ล้านคนภายในปี 2583 และเรายังพบคนไทยที่เสียชีวิตจากเบาหวานยังมีมากถึง 200 รายต่อวัน
ไม่เพียงสถานการณ์เบาหวานในไทยไม่กระเตื้องขึ้นอย่างที่คิด อีกหนึ่งประเด็นที่กำลังร้อนสุดใจยิ่งกว่า เมื่อผลสถิติพบว่า เบาหวานไม่ใช่เรื่องของคนสูงวัยอีกต่อไป แต่เรากำลังมีผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งในกลุ่มเด็กและวัยทำงาน “เพิ่มขึ้น”
เนื่องในวันเบาหวานโลก 2562 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง ได้ถูกจุดชนวนเพื่อเป็น “จุดเปลี่ยน” และ “จุดเริ่มต้น” สำคัญของการประกาศรวมพลังทุกภาคส่วนที่ร่วมกันตั้งเป้าหมายร่วมกันที่จะต่อสู้กับภัยเบาหวานที่คุกคามประชากรไทย
จากความร่วมมือระหว่างสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย และเครือข่ายคนไทยไร้พุง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ประกาศจัดกิจกรรม World Diabetes Day Thailand 2019 Together Fight Diabetes
ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการเครือข่ายคนไทยไร้พุง เอ่ยต่อถึงสถานการณ์ โรคเบาหวานในไทยว่า ปัจจุบันคนไทยมีภาวะอ้วนมากขึ้น โรคเบาหวานทำให้มีผู้เสียชีวิตโดยตรงเพียง 4% แต่ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน 1 ใน 3 มักเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด สอง ติดเชื้อ สามเป็นมะเร็ง และสี่เป็นไตวาย ที่ส่วนใหญ่มีสาเหตุสำคัญมาจากโรคเบาหวาน
นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและดูแลรักษามีเพียงร้อยละ 35.6 หรือเพียง 2.6 ล้านคน แต่มีสถิติเพียง 0.9 คนเท่านั้นที่บรรลุเป้าหมายในการรักษา หรือจะแปลได้ง่ายๆ ว่าบ้านเรามีคนที่ประสบความสำเร็จเอาชนะโรคเบาหวานได้ไม่ถึง 1 คน!
“อีกเหตุผลที่พบสถิติคนเป็นเบาหวานสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เราสามารถตรวจคัดกรองหาผู้ที่เป็นเบาหวานได้มีประสิทธิภาพขึ้น เพราะผู้ป่วยบางคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่าเขาเป็นเบาหวาน แต่เหตุผลหลักๆ ยังคงมาจากปัญหาที่สังคมไทยเราเริ่มมีคนอ้วนมากขึ้นจริงๆ รวมถึงการมีพฤติกรรมที่ส่งผลให้มีเบาหวานสะสมเพิ่มขึ้น” นายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยให้ข้อมูล
“สิ่งที่เราพยายามจะทำคือ การไม่ให้มีรายใหม่เพิ่มขึ้นเลย เพราะองค์การอนามัยโลกตั้งเป้าจำนวนผู้เป็นโรคเบาหวานเป็นศูนย์ แต่ในความเป็นจริง เป็นเรื่องที่ยากมาก เรายังไม่สามารถทำได้ไปถึงจุดนั้น”
การที่ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น ผลพวงที่ตามมาคือมักเกิดภาวะแทรกซ้อนเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ซึ่งหากดูแลรักษาได้ไม่ดีอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไต และการถูกตัดเท้าหรือขา ไปจนถึงตาบอดได้
ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี กล่าวแนะนำว่าการคัดกรองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากผู้ป่วยตรวจเจอโรคเร็วจะยิ่งให้การรักษาได้ดีกว่า
“สำหรับคนที่อายุ 35 ปีขึ้นไปควรตรวจคัดกรองทุกปี ส่วนใครที่มีคนในครอบครัวเป็นยิ่งต้องควรตรวจตั้งแต่เนิ่นๆ คนที่เป็นแล้วไม่ต้องท้อใจ การปฏิบัติตน ปรับพฤติกรรมทั้งวิถีชีวิตและการกินอยู่จะทำให้โรคลดลงได้ แต่หากคนที่เป็นเบาหวานแล้วก็ยังมีพฤติกรรมเดิม จะทำให้เบาหวานควบคุมได้ยาก เพราะฉะนั้นครอบครัวและคนใกล้ตัวจึงมีบทบาทอย่างมากในการดูแลคนในครอบครัว”
เบาหวานในคนรุ่นใหม่
อีกปัญหาสำคัญที่น่าห่วงใย เมื่อเบาหวานวันนี้กำลังคุกคามคนวัยหนุ่มสาวมากขึ้น โดยสถิติที่ชี้ชัดว่า พบทั้งกลุ่มวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว และผู้ใหญ่วัยต้น ที่สำคัญข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่าเบาหวานในคนรุ่นใหม่โรคมีความรุนแรงกว่าเบาหวานที่เกิดในวัยกลางคนและผู้สูงอายุเสียอีก รวมถึงตอบสนองต่อการรักษาได้น้อยกว่า แน่นอนว่าข่าวร้ายนี้ ส่งผลกระทบระดับประเทศ เพราะสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นกลุ่มประชากรในวัยทำงาน
“เยาวชนที่เป็นเบาหวานตั้งแต่วัยเด็กเล็กและวัยเรียน จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ แต่อุปกรณ์ดังกล่าวไม่ครอบคลุมอยู่ในรายการของสำนักง่านหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีค่าใช้จ่ายอยู่ราว 13,000 ต่อปี ทำให้ครอบครัวของผู้ป่วยที่มีฐานะยากจน ไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์นี้ได้ หลายหน่วยงานจึงได้ร่วมมือจัดกิจกรรมระดมทุนช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มนี้ที่มีอยู่ราว 100,000 คน ในประเทศไทย”ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี กล่าว
ด้าน ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า
“เมื่อก่อนเด็กเป็นกลุ่มสุขภาพดีในบ้านเราเพราะได้วิ่งเล่นขยับเขยื้อนร่างกายมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง รวมทั้งอาหารการกิน วัยทำงานก็อ้วนเยอะขึ้น เราเห็นโรค NCDs ตั้งแต่วัยยี่สิบต้นๆ ส่วนผู้สูงวัยแม้จะอายุยืนขึ้นแต่จะทำอย่างไรให้อายุยืนแล้วมีสุขภาวะดี ซึ่งในครอบครัวพ่อแม่มีบทบาทมากที่จะป้องกันลูกน้อยไม่ให้เสี่ยงเป็นเบาหวานด้วยการดูแลใส่ใจสุขภาพลูกน้อย โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ลดหวาน จัดอาหาร ส่งเสริมให้ออกกำลังกาย”
สร้างพลัง “ตื่นรู้” เท่าทันเบาหวาน
เมื่อเบาหวานสะท้อนตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะแต่ละประเทศต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยโรคนี้ทั้งการรักษาและคนดูแลในแต่ละปีเป็นงบประมาณที่สูง ในเรื่องนี้ ดร.นพ.ไพโรจน์ให้ข้อมูลว่า ทั้งโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละมากกว่า 40 ล้านคน คิดเป็น 71% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา สามารถคำนวณมูลค่าความสูญเสียถึง 47 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2573 หากไม่มีการดำเนินการแก้ไข ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 400,000 คนต่อปี คิดเป็นร้อยละ 76 ของการเสียชีวิตทั้งหมด และครึ่งหนึ่งเสียชีวิตก่อนวัยอันควร คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียร้อยละ 2.2 ของ GDP ต่อปี
จากสถานการณ์ดังกล่าว สสส. จึงพยายามเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นเพื่อไม่ให้คนไทยเป็นโรคเหล่านี้ หรือชะลอไม่ให้เป็นโรคยิ่งมากขึ้น ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตการกินและการขับเขยื้อนร่างกายเคลื่อนไหวให้มาก สสส.จึงสนับสนุนให้คนไทยหันมามีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในทุกช่วงวัยมากขึ้น ไปจนถึงสนับสนุนให้เกิดการจัดสิ่งแวดล้อมทางกฎหมายและทางสังคม ทั้งใช้การสื่อสารการตลาดเพื่อรณรงค์ปรับเปลี่ยนค่านิยมวัฒนธรรม โดยเน้นขยายแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพให้เหมาะสมตามกลุ่มวัย
“เราคงบุกไปสถานที่ต่างๆ ที่แต่คนอยู่หรือใช้ชีวิต ทั้งครอบครัว โรงเรียน หรือที่ทำงาน อย่างมนุษย์ทำงานเองใช้เวลาส่วนใหญ่ในที่ทำงานอย่างน้อยคนละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง เราจะส่งเสริมการให้ทุกคนหันมาเปลี่ยนเป็น 8 ชั่วโมงที่มีสุขภาพดีได้ คือแทนที่จะนั่ง เนือย นิ่ง เราควรเปลี่ยนอิริยาบถทุกหนึ่งชั่วโมง การเลือกบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงสิ่งแวดล้อมมีผลอย่างมากเช่นกัน เราควรจัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดีได้”
Together Fight Diabet
“แนวคิดนี้เกิดจากเรามองว่าการทำงานเรื่องสุขภาพไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือเราจะทำงานเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ แต่ต้องร่วมมือกันสร้างเครือข่าย ซึ่งในภาคราชการ สสส.อยากกระตุ้นให้ทุกคนตระหนัก เรายังมองไปถึงหน่วยงานรัฐและกระทรวงอื่นๆ ที่แม้ไม่ได้มีบทบาทโดยตรงด้านสุขภาพ แต่ก็ควรปลูกจิตสำนึกเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะจริงๆ แล้ว ทุกคนต่างช่วยกันดูแลชีวิตคนไทย เขาจึงต้องหันมาห่วงใยเรื่องสุขภาพ เช่น กระทรวงศึกษา กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ทุกคนควรออกมาแสดงบทบาท”ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. ชี้แจง
Together Fight Diabet จึงเป็นจุดเริ่มต้นและสัญลักษณ์ของการผนึกพลังและสร้างการมีส่วนร่วมในทุกคนให้หันมาเห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพของคนไทยในทุกมิติ
สำหรับการปักหลักยุทธศาสตร์ “พิชิต” โรคเบาหวานในสังคมไทย ดร.นพ.ไพรจน์ ยังอธิบายว่าจะเริ่มตั้งแต่ ระดับองค์กร ผ่านแนวคิด Healthy Organization ซึ่งจากการที่ปัจจุบันเทรนด์ของการบริหารจัดการองค์กร ให้ความสำคัญต่อพนักงาน ผู้บริหารส่วนใหญ่ให้ความสำคัญทำให้แนวคิดดังกล่าวนี้มีแนวโน้มได้รับการตอบรับเชิงบวกจากหลายองค์กร
“ที่ผ่านมาเขาอาจไม่รู้จะเริ่มหรือทำอย่างไร นอกจากจะมีข้อมูล คู่มือเอกสาร เรายังต้องมีเครือช่ายทุกกลุ่มเครือข่ายที่เป็นกลไกเข้าไปกระตุ้นและเป็นพี่เลี้ยงให้องค์กรเหล่านี้ เราจะต้องพัฒนาระบบให้ฝังอยู่ในแต่ละที่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในองค์กร ฝังวิธีคิดและวิธีการทำงานให้กับทุกภาคส่วน โดยเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยน mind set ในผู้บริหาร ส่งเสริมให้ทุกองค์กรมีระบบและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี “
หนุนกิจกรรมสร้างสุข สร้าง Active Lifestyle
สำหรับกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่จะเกิดขึ้น ใน World Diabetes Day Thailand 2019 Together Fight Diabetes ตลอดปีนี้ ประกอบด้วย 1.Fight Diabetes Run วิ่งสู้เบาหวาน กิจกรรมเดินสะสมระยะ (Virtual Run) วิ่งส่งเสริมสุขภาพ และระดมทุนช่วยกองทุนเบาหวานเด็ก สามารถสมัครเป็นทีมทีมละอย่างน้อย 3 คน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่ Line @FightDiabetesRun หรือสามารถซื้อเสื้อและเหรียญที่ระลึก ได้ในราคารวม 450 บาท เริ่มส่งผลเดินวิ่ง ได้ตั้งแต่ 14 พ.ย. 2562 – 15 ม.ค. 2563 โดยทีมที่สามารถสะสมระยะทางได้มากที่สุดจะได้รับโล่เชิดชูเกียรติ เป็นองค์กรหรือครอบครัวตัวอย่างห่างไกลเบาหวาน นอกจากนี้จำนวนระยะทางรวมที่ผู้เข้าร่วมทั้งหมดเดิน-วิ่งได้ จะแปลงเป็นเงินบริจาคช่วยผู้ป่วยเด็กเบาหวาน โดย 1 กิโลเมตร มีค่าเท่ากับ 1 บาท โดยเงินจำนวน 13,000 บาท สามารถช่วยเด็กเบาหวาน 1 คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้เป็นเวลา 1 ปี
ส่วน Active Meeting Challenge ภารกิจท้าคุณขยับ เป็นการประกวดคลิปออกกำลังกายระหว่างพักการประชุมหรือการปฏิบัติงาน เพื่อกระตุ้นให้คนในองค์กรให้ความสำคัญกับการเพิ่มการขยับร่างกายในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็น Healthy Organization หรือองค์กรสุขภาพพดี ทุกองค์กรสามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ม.ค. 2563
นอกจากนี้ยังมี กิจกรรม Healthy Family Workshop เชิญชวนสมาชิกในครอบครัวมาร่วมเวิร์กชอปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกำลังกาย ในรูปแบบกิจกรรมเรียนรู้ที่สนุกสนาน สามารถนำไปใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและประกาศรับสมัครได้ผ่านทางแฟนเพจเครือข่ายคนไทยไร้พุง และอีกกิจกรรมTogether Fight Diabetes Fair กิจกรรมวันรวมพลังสู้เบาหวานและโรค NCDs ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. 2563 นี้