ภาคเหนือคึกคักรับจีนเปิดประเทศ ฟื้นกำลังซื้อกระตุ้นดีมานด์ที่อยู่อาศัย

ภาคเหนือคึกคักรับจีนเปิดประเทศ  ฟื้นกำลังซื้อกระตุ้นดีมานด์ที่อยู่อาศัย

“อรสิริน” เผยอสังหาฯภาคเหนือคึกคักรับจีนเปิดประเทศฟื้นกำลังซื้อบริการ -ท่องเที่ยวกระตุ้นดีมานด์ที่อยู่อาศัยเล็งเปิดโครงการแนวราบ-แนวสูง 7 โครงการ มูลค่า4.6พันล้านครอบคลุมทุกเซกเมนต์

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิรินโฮลดิ้ง จํากัด  ผู้ประกอบการอสังหาฯ จ.เชียงใหม่ เผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ  ภาคเหนือขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีผลต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนืออย่างมากที่ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเกิดการจ้างงาน จากการกลับมาของกำลังซื้อต่างชาติ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมที่เคยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด 19  มีการปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งโครงการบ้านเดี่ยว 

สำหรับกลุ่มคนนอกพื้นที่ ที่เข้ามาทำงานหรือกลุ่มซื้อเพื่อลงทุน และชาวต่างชาตินั้น จะนิยมบ้านหรือ คอนโดมิเนียม ที่ระดับราคาสูงกว่า 3 ล้านบาท  ปัจจุบันชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อโครงการในจ.เชียงใหม่ มากกว่าครึ่งเป็นชาวจีน หลังจากจีนเริ่มทำการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ จะถือเป็นปัจจัยบวกและโอกาสในการขายของผู้ประกอบการอสังหาฯนอกจากกลุ่มลูกค้าชาวจีนแล้วชาติอื่นๆมีแนวโน้มเข้ามาซื้อโครงการอสังหาฯเพิ่มขึ้น อาทิ เมียนมา ญี่ปุ่น เกาหลี และชาวต่างชาติโซนยุโรป

นายปรีดิกร กล่าวว่า ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาฯ มีแผนเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 4,600 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท และโครงการแนวสูงอีก 3 โครงการมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัยตามกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า เช่น การพัฒนาบ้านแฝด แทนบ้านเดี่ยว

โดยเน้นการออกแบบให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และ การพัฒนาคอนโดมิเนียมในระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถเอื้อมถึงได้ ด้วยการปรับฟังก์ชันห้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการพัฒนาโครงการในทำเลที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดและมีกำลังซื้อที่ดี ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์

แม้ว่าในปี 2566 นี้ ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงหลายๆ ด้านที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น, ต้นทุนในการพัฒนาโครงการเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีกำลังซื้อน้อยลง รวมถึงมาตรการกลับมาบังคับใช้เกณฑ์กำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

โดยปัจจัยดังกล่าว มีผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรง เมื่อเทียบกับปัจจัยบวกเช่นการเปิดประเทศที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับกำลังซื้อแต่ละพื้นที่เป็นหลัก ไม่พัฒนาเกินกำลังที่ผู้บริโภคจะซื้อได้ การลดขนาดโครงการ หรือแบ่งเฟส และจำกัดปริมาณ เพื่อบริหารความเสี่ยงให้สอดรับกับต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในปีนี้