3ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลังฉุดอสังหาฯ หนี้ครัวเรือน เงินเฟ้อ ค่าพลังงาน

3ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลังฉุดอสังหาฯ หนี้ครัวเรือน เงินเฟ้อ ค่าพลังงาน

ลลิล ชี้3ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลังที่ฉุดอสังหาฯหนี้ครัวเรือน เงินเฟ้อ ค่าพลังงานระบุค่าแรงปรับขึ้นกระทบน้อย2-3% เล็งเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการกู้ยอดขายตามเป้าหลังฝนตกหนักกระทบงานก่อสร้างสะดุดพร้อมเล็งแตกไลน์ธุรกิจสร้างรายได้ประจำเสริม ลุยตลาดเมืองรอง

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  ปัจจัยหลักที่ฉุดตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย 3  ปัจจัยได้แก่ เงินเฟ้อ, หนี้ครัวเรือน และค่าพลังงาน  ส่วนค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น บริษัทมองว่าส่งผลกระทบกับต้นทุนก่อสร้างของน้อยเฉลี่ย2-3% เนื่องจากที่ผ่านมาค่าแรงก่อสร้างที่มีทักษะ เช่น ช่างทาสี ปูกระเบี้องค่าแรงสูงกว่ามาตรฐานค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว ขณะที่สถานการณ์การเมืองหลังจากนี้เชื่อว่าไม่รุนแรงเหมือนในอดีต 

 แนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีรายได้รวม 3,218.46 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 665.74 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทิศทางดีขึ้น จากกาารเปิดประเทศทำให้ธุรกิจบริการภายในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของคนในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งออกที่ยังดีอยู่

โดยล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog)มูลค่ารวม1,600 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ทั้งหมด ขณะเดียวกันบริษัทสามารถทำยอดขาย ได้ตามเป้าหมายที่ 700-800 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 7,200 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 3,218ล้านบาท 
 

ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่ายอดขายในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 8,500 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายต่อไตรมาสไว้ที่ประมาณ 2,100-2,200 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) มียอดขาย 5,800-5,900 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4 ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงเชื่อว่ายอดขายจะเติบโต หลังจากที่ยอดโอนช่วงเดือน ก.ค. ส.ค. ชะลอ เนื่องฝนตกหนักส่งผลกระทบงานงานก่อสร้างสะดุด ทำให้ส่งมอบงานช้ากว่ากำหนด 

สำหรับไตรมาส 3/2565 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,500 ล้านบาทส่วนไตรมาส 4/2565 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,500-1,700 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทั้งปี 2565 บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 7,000 ล้านบาท หลังในช่วงครึ่งปีแรกที่เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วจำนวน 5 โครงการ 
 

“ปีนี้ความยากจะอยู่ในแง่งานก่อสร้าง เพราะปีนี้ฝนตกไวขึ้นและนานขึ้น ทำให้งานก่อสร้างจะไม่ราบรื่น งานก่อสร้างช้าลงบ้างในช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา เราก็มีการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ส่งมอบโครงการได้ตามแผนงาน”  

นายชูรัชฏ์ กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาการลงทุนนอกเหนือจากธุรกิจที่อยูาอาศัยเพื่อสร้างรายได้ประจำเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยบริษัทมีความพร้อมทางด้านการเงิน ซึ่งบริษัทมีวงเงินออกหุ้นกู้ จำนวน 5,000 ล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปแล้ว 2,500-2,600 ล้านบาท อีกทั้ง ยังมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท และยังมีกระแสเงินสดในมือเพียงพอสำหรับใช้ในช่วง 2-3 เดือน

"ที่ผ่านมาบริษัทสนใจที่จะแตกไลน์ธุรกิจไปยังธุรกิจโรงแรม โรงเรียน และห้างสรรพสินค้า แต่ยังไม่ได้บทสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากยังติดปัญหาเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุนยังไม่ลงตัว พร้อมขยายฐานลูกค้าในตลาดเมืองรองในประเทศเมื่อจังหวะเวลาเหมาะสม   "