ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ดึงพันธมิตรรายใหม่ HUBBA เสริมแกร่ง โครงการ Smart Business Transformation ปี 2565
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ตั้งเป้าติดอาวุธเอสเอ็มอีมากกว่า 200 ราย ด้วยแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน การบริหารองค์กรที่สนับสนุนความหลากหลายของพนักงาน และการปรับใช้ทักษะดิจิทัล
ด้วยผลกระทบและการเผชิญหน้าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีความต้องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จึงร่วมกับองค์กรพันธมิตรรายใหม่ HUBBA ในโครงการ Smart Business Transformation หรือ SBTP ประจำปี 2565 เพื่อแบ่งปันเทรนด์และข้อมูลเชิงลึกในเรื่องการปรับองค์กรและธุรกิจสู่ดิจิทัล โดย HUBBA เป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มนวัตกรรมและผู้ประกอบการรายแรกของประเทศไทยที่ได้ให้คำแนะนำสนับสนุนผู้ประกอบการมามากกว่า 2,000 ราย อาทิ Bitkub ยูนิคอร์น รายที่สองของประเทศไทย
นอกจากนี้ SMEs มากกว่า 200 ราย ที่สมัครเข้าร่วมโครงการหลักสูตร 3 เดือน จะได้รับคำแนะนำและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน การบูรณาการหลักการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน รวมถึง แนวคิดการบริหารองค์กรที่สนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างของพนักงานเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้นับเป็นสิ่งจำเป็นในการบรรลุความสำเร็จขององค์กรและพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ นอกจากนี้ SMEs ยังจะได้เรียนรู้ทักษะดิจิทัลในด้านต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ การปรับโครงสร้างธุรกิจ การตลาดดิจิทัล และการพัฒนาด้านลูกค้า และเข้าถึงโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถช่วยพวกเขาเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันทางธุรกิจ
นางสาวสิรินันท์ จิรดิลก ผู้อำนวยการอาวุโส Digital Engagement and FinTech Innovation ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้เน้นย้ำให้ธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัล จากผลสำรวจของเรา พบว่า SMEs มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เน้นไปที่การปรับตัวเป็นดิจิทัล การตลาดดิจิทัล และการส่งมอบประสบการณ์แก่ลูกค้าเพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน
“ผลสำรวจของธนาคารยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าหนึ่งในสอง เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความคงทนยั่งยืนอันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของลูกหลานพวกเขาในอนาคต ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ความเป็นดิจิทัลมีความสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาว สิ่งสำคัญที่ SMEs ต้องตระหนักคือการผสานความยั่งยืนเข้าไปในกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเสริมประสิทธิภาพรากฐานทางธุรกิจของพวกเขา”
นายชาล เจริญพันธ์ CEO & Co-Founder HUBBA กล่าวว่า “นับตั้งแต่ปี 2555 HUBBA ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ผ่านเครือข่ายและการบ่มเพาะทางธุรกิจเพื่อให้ผู้ประกอบการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมตอบโจทย์ของตลาดและประสบความสำเร็จออกสู่ตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และจากการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา เราได้สังเกตการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและพบว่านี่คือโอกาสของ SMEs ที่จะปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจและกลยุทธ์ในการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า ยิ่งธุรกิจสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกได้มากขึ้นเท่าไร ความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาดก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากการปรับตัวสู่ดิจิทัลแล้ว เราพบว่า SMEs ยังต้องการคำแนะนำในด้านการบริหารองค์กรและทรัพยากรบุคคลด้วย จากการที่เราเห็นเจ้าของธุรกิจจำนวนมากต้องเผชิญปัญหาด้านนี้ เราจึงรวบรวมเอาหลักสูตรการฝึกอบรมในด้านการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมองค์กรเข้ามา เนื่องจากเรื่องนี้มีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อทัศนคติและแรงจูงใจของพนักงานซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า
มุ่งมั่นผสานความร่วมมือ ขับเคลื่อน SMEs ก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
โครงการ Smart Business Transformation (SBTP) ดำเนินงานโดย The FinLab หน่วยงานบ่มเพาะนวัตกรรม (Innovation Accelerator) ดำเนินงานภายใต้ธนาคารยูโอบี พร้อมด้วยองค์กรพันธมิตรชั้นนำได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ซึ่งพันธมิตรเหล่านี้ได้ให้การสนับสนุนโครงการ SBTP มาโดยตลอดในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา
สสว. ในฐานะที่เป็นผู้กำหนดนโยบายในการสนับสนุน SMEs ของประเทศไทย ได้กำหนดนโยบายและแผนการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการยกระดับทางเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 3.2 ล้านราย ส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนพวกเขาให้มีศักยภาพสูงขึ้นและสามารถแข่งขันในตลาดต่อไปได้คือ การได้ประชาสัมพันธ์ให้พวกเขาเข้าร่วมโครงการ SBTP ซึ่งเปรียบเสมือนช่องทางด่วนพิเศษในการพัฒนาทักษะดิจิทัล เร่งความสามารถในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และเข้าถึงการให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
สวทช. มีบริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้าให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล ผ่านโปรแกรม Innovation Technology Assistance Programme (ITAP) นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี ของความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เราประสบความสำเร็จในการสนับสนุน SMEs ไทยจำนวน 35 ราย ให้มีแนวคิดในการปรับปรุงพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรม และสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท และคาดว่าจะเกิดการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มขึ้นกว่า 20 ล้านบาท ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ITAP ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนไปแล้ว 5 ล้านบาท โดยเป็นการช่วยเหลือร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลให้กับองค์กร
depa ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนด้านโซลูชันเทคโนโลยีแก่ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า ระยะเวลาความร่วมมือกว่า 3 ปีของ depa กับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลของ SMEs รวมถึงการขยายโอกาสทางการตลาดสำหรับผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีชาวไทย เราเชื่อว่า SMEs ที่เข้าร่วมจะไม่เพียงสามารถปรับตัวเข้ากับโซลูชันที่เป็นดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน SBTP เท่านั้น แต่โครงการยังเปิดกว้างสำหรับโอกาสในการจับคู่ทางธุรกิจระหว่าง SMEs และผู้ให้บริการโซลูชัน การสร้างเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลได้
นับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการในปี 2562 โครงการ SBTP ได้รับความสนใจจาก SMEs ในประเทศไทยมากกว่า 4,000 ราย โดยมี SMEs มากกว่า 600 รายที่นำเทคโนโลยีไปปรับใช้เพื่อช่วยพัฒนาการตลาด (Front-end) และกระบวนการทำงานหลังบ้าน (Back-end)
โครงการ SBTP เปิดรับเจ้าของธุรกิจ SMEs หรือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ที่พร้อมเปิดรับแนวคิดใหม่ในการทำธุรกิจ มีความกระตือรือร้นในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและความพร้อมในการลงทุนด้านเครื่องมือดิจิทัล และสามารถให้เวลากับโครงการได้อย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลาสามเดือนของโครงการ ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความสนใจ จำกัดสาขาธุรกิจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ SBTP ได้โดย คลิกที่นี่ หรือคลิก จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565