อ.ส.ค.อัดแคมเปญ “Red Cowniwoww” รุกตลาดนม “กัมพูชา”

รุกตลาดนมไทย-เดนมาร์คในกัมพูชา มุ่งยกระดับตำแหน่งตราสินค้าให้ทันสมัยก้าวสู่พรีเมี่ยม พร้อมขยายฐานผู้บริโภคเล็งมาเลเซียเป็นประตูการค้า
ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า อ.ส.ค. ได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดอย่างครบวงจรในประเทศกัมพูชา ภายใต้แคมเปญ “Red Cowniwoww” (เรด คาวนิว๊าว) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์และตราสินค้าไทย-เดนมาร์คเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคชาวกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น พร้อมยกระดับตำแหน่ง ตราสินค้า (Brand Positioning) ให้มีความทันสมัยและมีความเป็นพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการประชาสัมพันธ์ในโอกาสครบรอบ 55 ปี ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คในตลาดกัมพูชา และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายระบายสินค้าคงคลังตามข้อมูลประมาณการน้ำนมดิบปี 2560 ด้วย
การจัดแคมเปญ “Red Cowniwoww” ในกัมพูชา ประกอบด้วย 3 กิจกรรมย่อย ได้แก่ การผลิตภาพยนตร์โฆษณานมไทย-เดนมาร์คชุดใหม่โดยมี “นารา ยิม” ดาราวัยรุ่นชื่อดังชาวกัมพูชาเป็น พรีเซนเตอร์ โดยออกอากาศสื่อโฆษณาโทรทัศน์ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน การโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด อาทิเช่น คอนเสิร์ตจากศิลปินดารานักร้อง การออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คและจัดโปรโมชั่น การเล่นเกมส์แจกของรางวัลและของที่ระลึก และการให้บริการตรวจสุขภาพ เป็นต้น กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อมุ่งขยายฐานผู้บริโภคนมไทย-เดนมาร์คในกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้บริโภคอายุระหว่าง 12-25 ปี ได้แก่ กลุ่มนักเรียน, นักศึกษา, วัยทำงาน และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ ผู้บริโภคอายุ 25 ปีขึ้นไป รวมถึงกลุ่มแม่บ้านและผู้บริโภคทั่วไป
“สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปจำหน่ายยังกัมพูชานั้น อ.ส.ค. ยืนยันว่า มีคุณภาพและมีความปลอดภัยภายใต้มาตรฐานการผลิตเดียวกันกับสินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งนมทุกหยดที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นนมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง เป็นจุดแข็งที่ตอกย้ำความเชื่อมั่นและทำให้ชาวกัมพูชาเลือกตราสินค้าไทย-เดนมาร์ค ซึ่งปัจจุบันชาวกัมพูชาได้มองเรื่องคุณภาพและคุณค่าของนมที่บริโภคเพิ่มมากขึ้น” ผอ. อ.ส.ค. กล่าว
ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวอีกว่า ปี 2559 ที่ผ่านมา อ.ส.ค. ได้ส่งออกผลิตภัณฑ์นม ยู.เอช.ที. ไทย-เดนมาร์คไปยังประเทศกลุ่มเออีซี (AEC) ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว และพม่า มีมูลค่าส่งออกรวม 1,068.49 ล้านบาท โดยปี 2559 กัมพูชาถือเป็นตลาดส่งออกหลัก มีมูลค่าส่งออก ประมาณ 796 ล้านบาท คิดเป็น 74% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ปี 2560 นี้ อ.ส.ค. คาดว่า ช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คในประเทศเพื่อนบ้าน 3 ประเทศดังกล่าวจะเติบโตมากขึ้น มีเป้าหมายส่งออกรวมไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านบาท โดยเฉพาะตลาดกัมพูชา อ.ส.ค. ตั้งเป้าส่งออกประมาณ 70-80% ของเป้าหมายรวม หรือประมาณ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 22% เฉพาะเดือนมีนาคม 60เพียงเดือนเดียวสามารถส่งออกได้ถึง 90 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่า การจัดแคมเปญ Red Cowniwoww จะช่วยผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คในกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน
“ผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คที่ได้รับความนิยมในประเทศกัมพูชา คือ นม ยู.เอช.ที. รสหวาน อนาคตคาดว่า เทรนด์การบริโภคนมในกัมพูชาจะมีความหลากหลายมากขึ้น โดยนมรสจืด รสช็อคโกแลต รสสตรอเบอร์รี่ และนมพร่องมันเนยจะได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทาง อ.ส.ค. จะส่งเสริมและร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายหรือเอเย่นที่แข็งแกร่งในกัมพูชา จำนวน 3 ราย ได้แก่ บริษัท จิระภา จำกัด, บริษัท บอร์เดอร์พลัส จำกัด และ หจก.บ่วงหลี ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขยายฐานตลาดและขยายกลุ่มผู้บริโภคนมไทย-เดนมาร์คในกัมพูชาเพิ่มขึ้น อาทิ การจัดโปรโมชั่นและกระจายสินค้า การขยายช่องทางจำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ยังสามารถที่จะเติบโตได้อีก ขณะเดียวกันยังมีแผนเร่งศึกษาสำรวจข้อมูลตลาดนมในกัมพูชาอย่างจริงจังและปรับแผนกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพื่อแข่งขันกับสินค้าคู่แข่งที่วางขายในท้องตลาดกัมพูชากว่า 10 ยี่ห้อ อาทิ ผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลือง อังกอร์มิลค์ อินโดมิลค์ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมผงหลายยี่ห้อ เป็นต้น ” ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าว
นอกจากจะขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คไปยังตลาดกัมพูชา ลาว และพม่าแล้ว ประเทศมาเลเซียเป็นอีกหนึ่งตลาดส่งออกที่น่าสนใจ มีความเป็นไปได้และมีศักยภาพสูง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนสุดท้าย คือ ส่งเอกสารรับรองเพิ่มเติมจากกรมปศุสัตว์ให้ทางมาเลเซียพิจารณาอนุญาตนำเข้า คาดว่า ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ อ.ส.ค. จะสามารถเปิดตลาดส่งออกนมไทย-เดนมาร์คไปยังมาเลเซียได้ อนาคตคาดว่า มาเลเซียจะเป็นประตูส่งออกสินค้าขยายไปสู่ตลาดสิงคโปร์ บรูไน และอินโดนีเซีย รวมถึงกลุ่มประเทศมุสลิมอื่นๆ ด้วย







