สมาคมแพทย์ผิวหนังฯเตือนภัยอันตรายจากการสัก

สมาคมแพทย์ผิวหนังฯเตือนภัยอันตรายจากการสัก

ระวังภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการสัก เผยส่วนประกอบของสีที่นำมาสัก มีส่วนประกอบของสารก่อมะเร็งพวก diolepoxide

                                                                                            

 

สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ออกมาเตือนภัยผู้ชอบนิยม “การสัก” ให้ระวังภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการสัก  เผยส่วนประกอบของสีที่นำมาสัก มีส่วนประกอบของสารก่อมะเร็งพวก diolepoxide หรือหากเกิดการเจ็บป่วย และต้องเข้าตรวจด้วยเครื่อง MRI อาจเกิดอาการข้างเคียง  นอกจากนี้หากต้องการลบรอยสัก ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ดร. นพ. เวสารัช เวสสโกวิท  ประธานฝ่ายจริยธรรมสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ในปัจจุบันการสักผิวหนังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย บางคนสักเป็นแฟชั่นเหมือนดาราชื่อดังหลาย ๆ คน  บางคนสักเพื่อลดระยะเวลาในการแต่งหน้า อาทิ  สักคิ้วถาวร สักริมฝีปากชมพู  เป็นต้น ในส่วนของสีที่สักนั้น จะไม่อยู่ในบริเวณที่สักนาน  หลังจากการสัก 6 สัปดาห์จะเหลือเพียงร้อยละ 32 ในบริเวณที่สัก   ถ้าผ่านไประยะยาว ๆ  จะเหลือเพียงร้อยละ 1-13 โดยสีจะกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง  นอกจากนั้นสียังมีการเปลี่ยนแปลงได้  หลังจากบริเวณที่สักถูกแสงแดด เช่น สีบางสีจะซีดลง รังสียูวีเอในแสงแดด ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบในสี เกิดเป็นสารก่อมะเร็งพวก diolepoxide

ดร. นพ. เวสารัช กล่าวว่าภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการสักนั้นพบได้ร้อยละ 75 ของผู้สักทั้งหมด โดยจะเป็นอาการตั้งแต่หลังสัก     แบ่งเป็นอาการทางผิวหนังร้อยละ 68   คือ ตกสะเก็ด มีอาการคัน  เลือดออก  บวม  ตุ่มน้ำ เป็นหนอง ส่วนอาการทั่วไป ได้แก่  มีอาการมึนงง ปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดเมื่อย พบได้ร้อยละ 7 และพบภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังจากการสัก พบได้ร้อยละ 6  จากผู้สักทั้งหมด   เช่น  แผลเป็น บวมเป็น ๆ หาย ๆ  ไวต่อแสง คัน รอยสักนูน สิว ตุ่ม ชา ปัญหาทางจิตประสาท เป็นต้น 

 

สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง พบได้หลายอย่าง  เช่น อาจทำให้เกิดการแพ้ในบริเวณที่สัก  ทำให้ผิวนูน ตะปุ่มตะป่ำ หรือเกิดเป็นแผลเรื้อรัง เนื่องจากแพ้สีที่สัก  การสักไม่ถาวรที่เรียกว่าสักเฮนน่า  ควรจะใช้เฮนน่าที่มาจากธรรมชาติ  แต่มีผู้สักมักง่าย ใช้ยาย้อมผมเคมีที่ประกอบไปด้วยสาร paraphenylene diamine มาใช้แทน  ทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงจนอาจเป็นแผลเป็นถาวรได้  การติดเชื้อจากการสักเกิดได้จากเชื้อหลาย ๆ ชนิด  ตั้งแต่ไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี   เชื้อเอชไอวี  แบคทีเรียและไมโครแบคทีเรีย  เชื้อราและซิฟิลิส  เมื่อผู้มีรอยสักมีอาการเจ็บป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจด้วยเครื่อง MRI  อาจทำให้มีอาการเจ็บ บวม แดง ในบริเวณที่เป็นรอยสัก  เนื่องจากสีหลากหลายสีที่นำมาสัก มีส่วนประกอบของธาตุเหล็ก

 

สาเหตุที่เกิดภาวะแทรกซ้อนและติดเชื้อ เกิดได้จาก  5  ปัจจัย ได้แก่  1.เกิดจากสี ที่ใช้สักและการปนเปื้อนของสีและน้ำที่มาเจือจางสีปนเปื้อนเชื้อ 2.เกิดจากเทคนิคการสักที่ไม่ดี   3.สถานที่สักไม่ปลอดเชื้อ  4. เครื่องมือที่ใช้สักไม่ได้มาตรฐาน และ 5. จากปัจจัยของแต่ละบุคคลเอง สีที่ใช้สัก  มีปริมาณมีน้อยกว่าที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ  จึงไม่มีการผลิตสีที่ใช้สำหรับการสักโดยตรง  แต่ใช้สีที่มาจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ อาทิ สีเคลีอบรถยนต์  สีที่มาจากหมึกพิมพ์  เป็นต้น เป็นสีที่ผลิตออกมาออกมาเพื่อใช้ในงานด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะ เมื่อมีการนำมาใช้กับคนจึงไม่มีความปลอดภัย และมีการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็งประเภท polycyclic aromatic hydrocarbons ในปริมาณสูงมาก สารต่าง ๆ อีกมาก  ตลอดจนโลหะหนักต่างๆ โดยเฉพาะโลหะปนเปื้อนนิกเกิ้ล พบในทุกสี

สีดำเป็นสีที่นิยมใช้ในการสักมากที่สุด  มีส่วนประกอบหลักคือ carbon black ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ พลาสติก และอุตสาหกรรมสี มีส่วนประกอบหลายอย่างที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในคน  มีการปนเปื้อนสารก่อมะเร็งในปริมาณสูง เกินกว่าค่าที่ยอมรับได้ถึง 23,500 เท่า  แม้ว่าสารก่อมะเร็งจะพบในปริมาณสูงมาก  แต่จากรายงานเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง กลับพบค่อนข้างน้อย เนื่องจากสารก่อมะเร็งและโลหะหนักเหล่านี้เกาะกันเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่  แต่จากการใช้เครื่องเลเซอร์ลบรอยสัก  พบว่าทำให้ขนาดอาณุภาคของสีสักลดลงได้ถึง 8 เท่า  และมีการปล่อยสารก่อมะเร็งต่าง ๆ ออกมาจากเม็ดสีเป็นปริมาณมาก ถ้าเปรียบเทียบทางการแพทย์ 

สำหรับผู้ที่เปลี่ยนข้อสะโพกเทียมชนิดที่เบ้าและหัวกระดูกเป็นโลหะทั้งคู่  พบว่าการเสียดสีขณะใช้  ทำให้มีปฏิภาคโลหะออกมาจากข้อเทียมก่อให้เกิดผลเฉพาะที่  และตรวจพบปริมาณโลหะหนักโคบอลต์เพิ่มปริมาณมากขึ้นในกระแสโลหิต  ก่อให้เกิดอาการอาการทางประสาท เช่น เหนื่อย เดินเซ สมรรถนะของการรู้คิด (cognitive function) ลดลง  เช่นเดียวกัน  การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ก็ทำให้มีปฏิภาคโลหะหนักและสารก่อมะเร็งต่างๆ ออกมาจากสีที่ใช้สัก  แต่ยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะบอกได้ว่าการลบรอยสักจะก่อให้เกิดผลเสียแก่ตัวผู้ป่วยระยะยาวมากน้อยแค่ไหน  ตั้งแต่มีการศึกษาผลกระทบจากการใช้เลเซอร์รักษารอยสักกับการปล่อยสารก่อมะเร็งต่างๆ ออกมาจากเม็ดสี  ทำให้ในบางประเทศ เช่น  เยอรมนี แพทย์จะปฏิเสธที่จะใช้เลเซอร์รักษารอยสักในผู้ป่วย เนื่องจากอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาวที่ยังไม่ทราบแน่ชัด

 

สำหรับความพึงพอใจในการสักนั้น จากผลสำรวจผู้มีรอยสักพบว่า  ผู้ที่ถูกสักมีความพึงพอใจ คิดเป็นร้อยละ 86   ร้อยละ 8  มีความพึงพอใจแต่ไม่ต้องการสักเพิ่มเติมอีก และร้อยละ 5 ต้องการลบรอยสักออก โดยในต่างประเทศ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา  มีจำนวนผู้สักร้อยละ 24  ของประชากร คิดเป็นจำนวน  80 ล้านคน  ในยุโรป  ความชุกของการสักต่างกันไปในแต่ละประเทศ  เช่น ในสหราชอาณาจักร  มีประชากรที่มีรอยสักร้อยละ 12  คิดเป็นจำนวน 7 ล้านคน  ในประเทศเยอรมัน มีผู้สักร้อยละ 9 ของประชากร คิดเป็นจำนวน  8 ล้านคน  โดยมีกลุ่มผู้สักอยู่ในช่วงอายุ (15 - 29 ปี) ถึงร้อยละ 23   

นอกจากนี้ผู้ที่มีรอยสักจำนวน 3,411  คนในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันพบว่าอายุเฉลี่ย 29.3 ปี   โดยอายุที่เริ่มสักพบมากที่สุดคีอ 18 ปี  เป็นเพศหญิงถึงร้อยละ 58.9  โดยร้อยละ 61.1 จะสักขนาดใหญ่กว่า 300 ตร.ซม.  และร้อยละ 64.9  สักมากกว่า 1 ตำแหน่ง  เกือบร้อยละ 60  สักเป็นสีดำอย่างเดียว  ร้อยละ 30  สักสีอื่นๆ ร่วมกับสีดำ และร้อยละ 10  สักสีอื่นๆ โดยไม่มีสีดำ  สีที่ใช้สัก ถ้าเป็นสักลวดลายสวยงาม  มักใช้สีสดใส  ส่วนใหญ่ในยุโรปสีเหล่านี้จะมาจากสหรัฐอเมริกา  แต่ถ้าเป็นสีเพื่อปกปิด  มักใช้สีที่กลมกลืนดูเป็นธรรมชาติ  เป็นสีที่ผลิตในยุโรปประมาณร้อยละ 70-80

ในเรื่องของแนวทางการควบคุมทางกฏหมายนั้น ในประเทศไทยและในอีกหลาย ๆ  ประเทศทั่วโลก การสักยังไม่มีการควบคุม สีที่ใช้สักไม่ถือว่าเป็นยาหรือเป็นเครื่องสำอาง  การสักไม่ถือเป็นหัตถการทางการแพทย์  การควบคุมในปัจจุบันอาจทำได้เพียงผ่านสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)  เท่านั้น  วิธีการตรวจสอบสีต่าง ๆ ยังไม่มีมาตรฐานกลางทั่วโลก แต่ภายในประเทศไทยได้เริ่มมีการพยายามสร้างทีมที่ประกอบด้วยตัวแทนจากหลาย ๆ สาขาวิชาชีพ เพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับการสัก  จึงขอฝากเตือนให้ผู้ที่ต้องการสัก  คิดสักนิดเกี่ยวกับอันตรายจากการสัก  เมื่อสักไปแล้ว มีผู้สักในประเทศไทยถึงร้อยละ 5  รู้สึกเสียใจ   ซึ่งหากต้องการลบรอยสักออกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อันตรายจากการลบรอยสักอาจเกิดขึ้นจากการปล่อยสารมะเร็งและโลหะปนเปื้อนต่าง ๆ ออกไปในกระแสโลหิต  ซึ่งยังไม่มีใครทราบเกี่ยวกับผลข้างเคียงในระยะยาวจากการลบรอยสัก

                                                                              

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

คุณธนศักย์  อุทิศชลานนท์ (โป้ง)

ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัทคอร์แอนด์พีค  จำกัด

โทรศัพท์  081-421-5249Email: [email protected]