จะมีไหม? นโยบายฟื้นเครื่องจักร 'ท่องเที่ยวไทย' เร่งด่วน

การท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญภาวะชะงักงัน จำนวนนักท่องเที่ยวไม่เติบโต เหตุรัฐขาดการบูรณาการแก้ปัญหา แนะ ควรเปลี่ยนนโยบายจากเน้น "จำนวน" นักท่องเที่ยวไปสู่ "คุณภาพ"
KEY
POINTS
- การท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญภาวะชะงักงัน (Tourism Stagnation) โดยจำนวนนักท่องเที่ยวไม่เติบโตแม้จะมีนโยบายฟรีวีซ่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักของประเทศ
- ปัญหาสำคัญเกิดจากโครงสร้างรัฐที่ขาดการบูรณาการในการจัดการปัญหาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งต่างจากญี่ปุ่นที่บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ข้อเสนอแนะคือการเปลี่ยนนโยบายจากการเน้น "จำนวน" นักท่องเที่ยวไปสู่ "คุณภาพ" โดยส่งเสริมนักท่องเที่ยวที่พักนานและใช้จ่ายสูง ซึ่งต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองที่เข้มแข็งในการผลักดัน
สถานะของการท่องเที่ยวไทยอยู่ตรงไหนในปัจจุบัน ? เมื่อแนวโน้มตัวเลขนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ได้โตขึ้นจากปีก่อนหน้า ขณะที่ทางการไทยก็พยายามดึงกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาผ่านนโยบายฟรีวีซ่าจนแทบหมดหน้าตัก
ทฤษฎีวงจรชีวิตท่องเที่ยว Butler’s Tourism Area Life Cycle (TALC) ของ Richard Butler (1980) เสนอว่า แหล่งท่องเที่ยวไม่ได้เติบโตแบบเส้นตรงตลอดไป แต่มี “วงจรชีวิต” คล้ายสินค้า เมือง หรืออุตสาหกรรม โดยแบ่งออกเป็น 6 ระยะหลัก ได้แก่
- Exploration – ระยะค้นพบ นักท่องเที่ยวจำนวนน้อย เป็นกลุ่มเฉพาะ
- Involvement – ชุมชนเริ่มมีส่วนร่วม โครงสร้างพื้นฐานเริ่มต้น
- Development – ทุนขนาดใหญ่เข้ามา การตลาดขยายตัวอย่างรวดเร็ว
- Consolidation – นักท่องเที่ยวจำนวนมาก เศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง
- Stagnation – จำนวนถึงเพดาน คุณภาพเริ่มลด ภาพลักษณ์เริ่มเก่า
- หลัง Stagnation – แยกออกได้หลายเส้นทาง จะฟื้นคืน หรือ แช่แข็งติดเพดานกินบุญเก่าอยู่ตรงนั้น หรือ ค่อย ๆ ล้มหายไปมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่มาแทนในที่สุด
นี่มันไม่ใช่แค่คำถามแล้วล่ะ มันกำลังเป็นความน่ากังวลเพราะการท่องเที่ยวไทยซึ่งเริ่มเติบโตเมื่อ 40 กว่าปีก่อน แล้วก็สามารถโดดเด่นอยู่ในแผนที่ท่องเที่ยวโลกตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันอยู่ตรงไหน เมื่อตัวเลขสูงสุดก่อนโควิดขึ้นไปแตะ 39 ล้านคน จากนั้นมาก็ไปไม่ถึงจุดดังกล่าว มิหนำซ้ำปีนี้ยังอาจน้อยกว่าปีกลายด้วยซ้ำไป
อย่าลืมว่าการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักที่เหลืออยู่ อุตสาหกรรมและสินค้าหลายตัวที่เคยเป็นรายได้ประชาชาติ อยู่ในระยะถดถอยแทบทุกตัวไป หากเครื่องยนต์ตัวสุดท้ายมีปัญหา ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เป็นเดิมพันนั้นสูงมาก
Tourism Plateau: เมื่อการท่องเที่ยวไทยไม่สามารถเติบโตต่อได้ ?
มีศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์คำหนึ่งที่คุ้นหูคนไทยมาก่อน คือ กับดักรายได้ปานกลาง ประเทศไทยติดอยู่ที่เพดานนี้ ศัพท์ทางการท่องเที่ยวก็มีคล้ายคลึงกัน ก็คือ Tourism Stagnation หรือ Tourism Plateau หมายถึง ภาวะที่การท่องเที่ยวไม่สามารถเติบโตเชิงปริมาณต่อไปได้ แม้จะมีการอัดนโยบายกระตุ้น อาทิ ฟรีวิซ่าแบบอ้าแขน อาจจะด้วยระบบไปถึง “ขีดจำกัด” บางประการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขีดจำกัดด้านพื้นที่ สิ่งแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐาน หรือการยอมรับของสังคมท้องถิ่น หรือเหตุอื่นใดก็ตาม
แตกต่างจากญี่ปุ่น ที่แม้ว่าเขาจะประสบปัญหา Overtourism แต่ก็พยายามกระจายไปสู่แหล่งท่องเที่ยวใหม่ เมืองรอง และสร้างระบบจัดการ เช่น จำกัดจำนวนเข้าชม จำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้แตะ 40 ล้านคน แซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว แม้ว่าเขาเพิ่งกระโดดสู่สนามนี้เมื่อทศวรรษก่อน คือเมื่อตอนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิคนี่เอง
นโยบายการจะแก้ปัญหาการท่องเที่ยวรวมถึงการขยายโอกาสทางการท่องเที่ยวใหม่ และ บริหารการเติบโตเชิงปริมาณอย่างไร โดยไม่ทำลายคุณค่าในระยะยาว ฟังเหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายเลยสำหรับโครงสร้างการบริหารราชการแบบไทยๆ ที่แยกแท่ง แยกอำนาจ ภารกิจ ลำพังกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาไม่สามารถแบกรับภารกิจยิ่งใหญ่และซับซ้อนนี้ได้เพียงหน่วยเดียว
เอาแค่เรื่องฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มาเฟียเอย การกำกับโรงแรมที่พักเอย การจัดระบบคมนาคมขนส่งที่สมาร์ททันสมัย สมาร์ทซิตี้ ฯลฯ เป็นอำนาจของหน่วยงานอื่นทั้งสิ้น
..นั่นคือเชิงรับเท่านั้น..
ในแง่เชิงรุก ตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่ส่งเสริมการขายสินค้าเชิงวัฒนธรรมและการสร้างสรรค์ Cool Japan อันเป็นพื้นฐานดึงดูดการท่องเที่ยวและบริการด้วย เขาต้องใช้หน่วยงานมากมายบูรณาการกัน ไม่ใช่แค่กระทรวงการท่องเที่ยวเพียงหน่วยเดียว อาหารไทย มวยไทย หรืออะไรก็ตามที่เคยมีการหยิบขึ้นมาคิดจะส่งเสริมซอฟท์พาวเวอร์ไทย ต้องอาศัยการจัดการเชิงบูรณาการสูงมาก ซึ่งต้องใช้เจตจำนงเชิงนโยบายทางการเมือง Political Will ในการผลักดัน
อาจไม่ต้องโตแรง แต่ต้องบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน
เป็นโอกาสอันดี ที่กำลังมีการเลือกตั้ง และก็ควรที่สังคมช่วยกันเรียกร้องให้พรรคการเมืองทั้งหลายเสนอ และบรรจุนโยบายนี้เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทิ้งไม่ได้
วงจรของการท่องเที่ยวที่เริ่มติดเพดาน และชะงักค้าง หรือ Tourism Stagnation เส้นทางของมันไปต่อได้ 2 ทางหลัก ๆ คือ ปล่อยให้เสื่อมโทรมลง ๆ กับ ต้องฟื้นฟูมัน เป็นทางสองแพร่ง ระหว่าง "Decline – เส้นทางตกต่ำ" กับ "Rejuvenation – เส้นทางฟื้นฟู" หรืออย่างน้อยไม่ต้องโตก็ได้ แต่ต้องบริหารจัดการให้มันยั่งยืนยาว กินยาวๆ อย่างมีคุณภาพ สอดรับกับโลกยุคใหม่
โดยภาครัฐต้องไปช่วยปรับรื้อโครงสร้างเดิม เช่น แต่ก่อนต้องอาศัยโรงแรมใหญ่ห้องเยอะ แต่ตลอดเปลี่ยนมาเป็นห้องเล็ก AirBnB ระบบรัฐไปเกี่ยวข้องกับระบบระเบียบใหม่ การต้องส่งเสริมธุรกิจคุณภาพ local operator หรือพวกธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ ของแต่ละท้องถิ่น
แนวนโยบายใหม่ ความคิดใหม่ๆ เช่น ไม่ใช่จำนวนหัวของผู้มาเยือน แต่เน้น จำนวนวันพัก จำนวนเงินที่จ่าย จำนวนลูกค้าคุณภาพที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเดิมที่เป็นต้นทุนระยะยาว ซึ่งหากเปลี่ยนแนวคิด นโยบายการเปิดฟรีวีซ่าแบบอ้าแขนรับมั่วไปหมดรวมทั้งแรงงานหางานก็ใช้ช่องทางนี้เข้ามา เป็นต้น
การท่องเที่ยวไทย ที่กำลังติดกับดักชะงักงัน และเสี่ยงต่อการถดถอยกำลังรอคอยแนวนโยบายใหม่ และเจตจำนงทางการเมืองเพื่อพลิกฟื้น
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







