กม.ลูก ซ่อนกล "ปลดโทษแบน" ฝัน "บิ๊กเนม" ฉากหน้าตั้งพรรค

กม.ลูก ซ่อนกล "ปลดโทษแบน" ฝัน "บิ๊กเนม" ฉากหน้าตั้งพรรค

"กลเกม" กฎหมายลูกที่มีการเสนอแก้ไขคุณสมบัติต้องห้ามในการตั้งพรรคการเมือง ถูกมองว่า อาจเป็นการเปิดทางให้บรรดาบิ๊กเนมการเมือง หรือแกนนำม็อบสีต่างๆ ออกจาก "หลังฉาก" เพื่อมาสู่ "ฉากหน้า" การเมืองหลังจากนี้

“สมรภูมิเลือกตั้ง” สนามใหญ่ ตามไทม์ไลน์คาดการณ์จากหลายฝักหลายฝ่ายในห้วงที่ผ่านมา มีการประเมินว่า หากไม่มี “อุบัติเหตุการเมือง” เกิดขึ้นเสียก่อน เราจะมีการหย่อนบัตรเลือกตั้งส.ส.ทั่วประเทศ ภายใต้กติกา “บัตร 2 ใบ” ในช่วงประมาณกลางปี 2566

ฉะนั้น สิ่งที่จะต้องจับตาต่อจากนี้ หนีไม่พ้น “กติกาเลือกตั้ง” ที่จะถูกนำมาใช้ในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และร่างพ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่ยามนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการวิสามัญ ก่อนเสนอเข้าสู่สภาเพื่อโหวต ในวาระ 2 และ 3 

หนึ่งไฮไลท์สำคัญที่กำลังพิจารณาอยู่ และถูกพูดถึงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

หนีไม่พ้นโมเดล “ลดสเปค” ผู้ก่อตั้งพรรคการเมือง โดยการปลดล็อก “คุณสมบัติต้องห้าม” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (1)-(18) โดยเฉพาะบรรดา “โทษแบนการเมือง” ให้สามารถเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคได้ และให้คงเหลือเพียงคุณสมบัติต้องห้ามตามมาตรา 96 เพียง 4 กรณี ไม่ว่าจะเป็น

(1) เป็นภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวช

(2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่

(3) ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

(4) วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีการมองว่า ไม่ต่างอะไรกับการเปิดโอกาสให้บรรดา “บิ๊กเนม” การเมือง และ “แกนนำม็อบ” สีต่างๆ ที่ยามนี้ “ติดโทษแบน” ทั้งจากคดีความต่างๆรวมถึงคดียุบพรรคและกำลังเคลื่อนไหวอยู่ฉากหลังพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมือง ปรับบทบาทสู่ “ฉากหน้า” อย่างเต็มตัว

สอดรับกับการเลือกตั้งที่จะมาถึงที่จะสามารถเข้ามาบัญชาการศึกเลือกตั้งได้โดยสะดวกโยธิน ตอกย้ำด้วยความเคลื่อนไหวของบิ๊กเนมการเมืองหรือแกนนำม็อบบางคนที่กำลังเคลื่อนไหวตั้งพรรคอยู่ ณ ขณะนี้

ความเห็นจากทางฝั่ง กมธ. อาทิ “ธีรัจชัย พันธุมาศ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ. ให้เหตุผลในประเด็นนี้ ทำนองที่ว่า “ควรเปิดโอกาสให้เกิดการมีส่วนร่วมทางการเมือง”

ทว่า ประเด็นดังกล่าว  ยังมีการหักล้างด้วยความเห็นจาก “กมธ.อีกฝั่ง” โดยเฉพาะ ส.ว.และรัฐบาล ที่มองว่า การเปิดช่องให้บุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาลเข้ามาจัดตั้งพรรคการเมืองได้ทันที หลังจากที่ร่างกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้ อาจเป็นการทำลายหลักของคำวินิจฉัย หรือคำพิพากษาขององค์กรตุลาการ

ที่สั่งห้ามให้นักการเมืองเข้ายุ่งเกี่ยวในกิจการหรือพรรคการเมืองได้

ที่สุดประเด็นนี้อาจต้องไปจบที่การ “ลงมติ” ในกมธ. ซึ่งจะมีขึ้นในัวันที่ 7 เม.ย. ซึ่งตัว “ธีรัจชัย”เองก็ยอมรับประเด็นนี้ว่า กมธ.ซีก ส.ว. และพรรคพลังประชารัฐ เป็นเสียงข้างมาก โอกาสที่จะโหวตชนะมีน้อย

เช่นนี้เท่ากับว่า โมเดลที่บางพรรคการเมืองฝันที่จะให้บรรดา “บิ๊กเนมการเมือง” รวมถึงบรรดา “แกนนำม็อบ” สีต่างๆ ที่เวลานี้กำลัง “ติดโทษแบน” ออกจาก “หลังฉาก” มาสู่ “หน้าฉาก” เพื่อกุมบังเหียนพรรคการเมือง ก็อาจต้องถูกดับฝันไปโดยปริยาย