"อดีตที่ปรึกษากรธ." ค้านแก้ "พ.ร.ป.พรรค" เปิดทางคนนอก ครอบงำ

"อดีตที่ปรึกษากรธ." ค้านแก้ "พ.ร.ป.พรรค" เปิดทางคนนอก ครอบงำ

"เจษฎ์" ชี้มี3ประเด็น ต้องจับตา รัฐสภา แก้ พ.ร.ป.ที่เตรียมใช้เลือกตั้ง ค้านแก้ปมคนนอกครอบงำพรรค ชี้หากให้คนๆเดียวมีอำนาจเหนือพรรค ไม่ควรมีพรรค

            นายเจษฎ์ โทณะวณิก  อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสนามข่าว101 ถึงกรณีที่ที่ประชุมรัฐสภา เตรียมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่เตรียมใช้ในการเลือกตั้ง ในวันที่ 24 - 25 กุมภาพันธ์ ที่มีส.ส.เข้าชื่อเสนอรวม 10 ฉบับ ว่ามี 3 ประเด็นต้องจับตา คือ 1. การเสนอให้ใช้บัตรเลือกตั้งหมายเลขเดียวกันทั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และ ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง โดยใช้หมายเลขพรรคการเมืองเป็นตัวตั้ง ที่อาจมีปัญหา เพราะตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน แม้มีการแก้ไขเพิ่มเติม แต่ไม่ได้แก้มาตรา 90 ที่กำหนดให้ส่งผู้สมัครส.ส.แบบเขตเลือกตั้งก่อนส่งผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

 

 

            “พรรคการเมืองอ้างว่าขอแก้ไขให้เป็นเบอร์เดียวกันเพราะสงสารประชาชน แต่ผมมองว่าหากนักการเมืองไม่สามารถบอกได้ว่าผู้สมัครเขตเบอร์อะไร เบอร์พรรคเบอร์อะไร อย่าลงสมัครรับเลือกตั้งหรือหากไม่สามารถทำให้ประชาชนจดจำ 2 หมายเลขได้ ควรไปใช้วิธีอื่น อย่าใช้วิธีเลือกตั้ง ดังนั้นเมื่อกฎหมายยหลักปรับไม่ได้ ด้วยเหตุที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ไม่ดี และไม่ชัด ไม่สะเด็ดน้ำดังนั้นต้องจับตาการอภิปรายในที่ประชุม” นายเจษฎ์ กล่าว

            นายเจษฎ์ กล่าวด้วยว่า 2. การแก้ไขกฎหมายลูกตามอำเภอใจของแต่ละพรรค แต่ละฝ่าย ตามความอยากและความต้องการของกลุ่มเพื่อสนองประโยชน์ของตนเอง โดยไม่ทราบว่าประชาชนจะได้ประโยชน์ด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะการแก้ไขพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28  และมาตรา 29 ว่าด้วยข้อห้ามพรรคการเมืองให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ครอบงำ ชี้นำกิจการของพรรค ทั้งนี้การเสนอแก้ไขดังกล่าวตนเชื่อว่ามีเจตนาต้องการให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคเข้ามาครอบงำ ชี้นำและควบคุมพรรค 

 

            “พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่ามีคนนอกมาคุยบ้าง เช่น พรรคภูมิใจไทย มีคนนอก คนที่ไม่อยู่ในพรรค เอ่ยชื่อรู้ว่าใคร ไม่เอ่ยก็รู้ นึกหน้าออก แต่เขามีวิธีคุย ที่ไม่ใช่การชี้นำ แต่พรรคเพื่อไทยที่อยากได้ที่สุด ให้คุณโทนี่ วู้ดซัม แสดงทัศนะด้านต่างๆ กับพรรค จึงอยากให้แก้ไขมาตรา 28 และมาตรา 29 เพราะอยากโดนคนชี้นำ ครอบงำ แม้จะอ้างว่าอยากให้มีนักวิชาการเสนอความเห็น แต่ผมมองว่าแม้มีบทบัญญัติสองมาตราไว้ ไม่มีผลอะไรหากพรรคการเมืองเข้มแข็ง ทั้งนี้อย่าลืมว่าประเทศไทยปลดล็อคอะไรบางประกาศจะเกิดความวุ่นวายได้ เพราะคงไม่มีใครคิดว่า ใครบางคนจะอ้างเป็นนอมินีของใครทำพรรค ก็เคยมีมาแล้ว” นายเจษฎ์ กล่าว

             นายเจษฎ์ กล่าวย้ำด้วยว่า มาตรา 28 และมาตรา 29 ที่ปิดทางพรรคให้คนนอก หรือให้คนนอก ครอบงำ ควบคุม ชี้นำพรรคนั้น เจตนาคืออยากให้บ้านนี้ขับเคลื่อนด้วยพรรคการเมือง เพราะก่อนหน้านี้มีคนจะลงสมัครส.ส.เขตแบบอิสระ ถูกมองว่าอาจจะขายตัว ทานอำนาจ หรือทานกำลังเงินไมไ่ด้ แต่ตอนนี้ กลับพบว่าคนทั้งพรรคอยากให้คนๆ เดียวชี้นำนั้น หมายถึงอะไร หรือตอนนี้คนหมู่มากทานกำลงคนๆ เดียวไม่ได้ ดังนั้นตนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประเด็นดังกล่าว หากพรรคการเมืองเข้มแข็งบทบัญญัติที่เขียนไว้มีเหมือนไม่มี แต่หากพรรคการเมืองไม่ได้เรื่อง ถึงขั้นอยากให้คนชี้นำ ครอบงำ หรือควบคุม ควรเลิกพรรคการเมืองนั้นดีกว่า

 

 

 

            นายเจษฎ์ กล่าวด้วยว่า 3. การแก้ไขพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ปรับการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่พรรคการเมืองขนาดเล็กร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ  กรณีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบที่ไม่ชัดเจน และกรณีการกำหนดสิทธิจะส่งผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อได้ต้องส่ง ผู้สมัคร ส.ส.แบบเขตก่อน ซึ่งเดิมเจตนารมณ์ต้องการบล็อคพรรคการเมืองขนาดเล็ก ทั้งที่ระบบเลือกตั้งที่แก้ไขไม่ควรปิดกั้น กรณีที่จะส่งสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างเดียว.